วันเสาร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2560

ไม่ต้องง้อร้านอีกต่อไป แจกสูตร วิธีการทำลอดช่อง ขนมหวานของชอบของใครหลายคน

ไม่ต้องง้อร้านอีกต่อไป แจกสูตร วิธีการทำลอดช่อง ขนมหวานของชอบของใครหลายคน

Advertisements

สิ่งที่ต้องเตรียม

แป้งข้าวเจ้า 100 กรัม แป้งเท้ายายม่อม 30 กรัม แป้งซ่าหริ่ม 20 กรัม น้ำปูนใส 450 กรัม น้ำใบเตย 250 กรัม น้ำแข็ง น้ำกะทิ 250 กรัม น้ำตาลปึก 150 กรัม เกลือป่น 1/2 ช้อนชา เทียนอบ

ขั้นตอนวิธีการทำ

1. เริ่มจากการทำตัวลอดช่องโดยการนำแป้งข้าวเจ้า, แป้งเท้ายายม่อม, แป้งซ่าหริ่ม มาผสมเข้าด้วยกัน

2. หลังจากนั้นค่อยๆใส่น้ำปูนใสทีละน้อย ขณะเดียวกันก็นวดแป้งให้เข้ากันจนเนียนและเหนียว และค่อยๆใส่น้ำปูนใสจนหมด

3. จากนั้นจึงใส่น้ำ ใบเตย แล้วนำไปตั้งบนไฟร้อนปานกลาง

4. กวนจนแป้งเหนียวและข้นจึงลดไฟลง

5. จากนั้นกวนต่อจนแป้งสุก (แป้งจะมี ลักษณะข้นเหนียว)จึงปิดไฟ

6. จัดเตรียมน้ำเย็นโดยนำน้ำแข็งไปละลายในน้ำจนน้ำเย็นจัด

7. จากนั้นนำส่วนผสมแป้งที่เตรียมไว้ในขั้นตอนที่หนึ่งไปใส่ลงในพิมพ์ลอดช่อง

8. คาอยๆกดให้เป็นเส้นหย่อนลงไปในน้ำเย็นที่เตรียมไว้

9. จากนั้นเริ่มทำน้ำกะทิโดยการนำเอาน้ำตาลปึกผสมกับน้ำกะทิและเกลือป่น

10. จากนั้นนำไปตั้งบนไฟอ่อนๆ ค่อยๆ คนจนน้ำตาลละลายดี จึงปิดไฟ

11. จากนั้นนำไปอบควันเทียนให้หอม

12. ทำการตักเส้นลอดช่องใส่ถ้วย ราดด้วยน้ำกะทิ และน้ำแข็งทุบ สามารถใส่เครื่องเพิ่มเติมได้ตามต้องการ เช่นเผือกนึ่ง, ข้าวเหนียวดำ, อื่น พร้อมเสริฟได้ทันที

หลังจากที่ได้อ่านกันแล้ว คงไม่มีใครอดใจไหวกับขนมหวานอย่างลอดช่อง ยิ่งช่วงนี้เป็นหน้าร้อนคนยิ่งต้องการรับประทานขนมหวาน แล้วจะรออะไรอยู่จัดเตรียมวัตถุดิบและทำตามวิธีการด้านบนกันได้เลย

ที่มา littleza
Advertisements

แจกสูตรน้ำจิ้มลูกชิ้นมะขามเปียกฉบับชาววัง ลองทำกินกันเลย อร่อยแน่นอน

แจกสูตรน้ำจิ้มลูกชิ้นมะขามเปียกฉบับชาววัง ลองทำกินกันเลย อร่อยแน่นอน

Advertisements

ส่วนผสม

พริกชี้ฟ้าแดง 500 กรัม กระเทียมแกะเปลือกออกให้เกลี้ยง 300 กรัม มะขามเปียกคั้นน้ำแล้ว 300 กรัม(หรือมากกว่านี้ขึ้นอยู่กับรสชาติของมะขาม) น้ำตาลปีบ 700 กรัม น้ำตาลทราย 300 กรัม เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ มะเขือเทศ 500 กรัม

ขั้นตอนวิธีทำ

1.นำมะขามเปียกแช่น้ำแล้วแล้วคั้นเอาแต่น้ำและเนื้อมะขาม จากนั้นนำไปใส่โถปั่น ปั่นให้ละเอียด

2.ใส่น้ำตาลปีบและน้ำตาลทรายลงในหม้อนำไปตั้งไฟเคี่ยวด้วยไฟกลางรอจนกว่าน้ำตาลละลาย

3.นำพริกชี้ฟ้า กระเทียม มะเขือเทศ น้ำมะขามเปียก ใส่โถปั่นอาจเติมน้ำเปล่าได้เล็กน้อยปั่นจนละเอียดตามที่เราต้องการ นำส่วนผสมทั้งหมดไปเทใส่หม้อน้ำเชื่อมเติมเกลือป่น ชิมรส เคี่ยวต่อโดยใช้ไฟกลางจนน้ำเชื่อมเริ่มเหนียว พักไว้ให้เย็นนำเข้าตู้เย็นเก็บไว้ขายได้หลายวันค่ะ

4.สำหรับสูตรเผ็ดน้อยให้ลดจำนวนพริกลง สูตรน้ำจิ้มรสเด็ดสามารถเพิ่มลดส่วนผสมได้เล็กน้อย เพื่อให้ได้รสที่กลมกล่อมการทำน้ำจิ้มลูกชิ้น เพื่อขายคู่กับลูกชิ้นปิ้งเป็นอาชีพเสริมหลังเลิกงาน ควรทำอย่างน้อย

2 สูตร คือสูตรเผ็ดมากและเผ็ดน้อย หรือทำน้ำจิ้มสำหรับเด็กโดยไม่ใส่พริก เมื่อทานคู่กับผักสดจะทำให้ได้รสชาติยิ่งขึ้นค่ะ

ขอบคุณที่มา kaijeaw
Advertisements

แจก 4 สูตร ล้างอุจจาระตกค้างในลำไส้ ทำแล้วพุงยุบเลยลองดู


แจก 4 สูตร ล้างอุจจาระตกค้างในลำไส้ ทำแล้วพุงยุบเลยลองดู
Advertisements

หากถ่ายอุจจาระ หลังเวลา 7 โมงเช้าลำไส้จะบีบให้อุจจาระขึ้นไปข้างบนเวลาถ่ายจะ ถ่ายไม่หมด แต่ไม่รู้ตัว ที่ปลายลำไส้จะมีประสาทปลายทวาร เมื่อมีอุจจาระที่เหลวพอมาจ่ออปลายทวาร ประสาทจะส่งสัญญานบอกสมองให้ปวดอึ

หลัง 7 โมงเช้า ลำไส้จะทำงานไม่เป็นปกติ บีบอุจจาระให้ขาดช่วงเวลาถ่ายจนรู้สึกว่าหมดแล้ว เราก็หยุดแต่ความจริง อุจจาระท้ายขบวนยังไม่ออก แต่มันถูกดันกลับขึ้นไป ไม่มาจ่อปลายทวารทำให้เราไม่ปวดอึ เราก็นึกว่าหมดแล้ว อุจจาระที่ค้างไว้นี้ก็จะเกาะที่ผนังลำไส้ พอมีอุจจาระใหม่ที่เหลวกว่ามันก็แซงหน้าไปก่อน แต่มันไม่สามารถดันพวกที่ค้างแข็งให้ออกไปได้ พวกที่ค้างแข็งไว้ ก็เกาะติดแน่น ฉะนั้น ทุกวันที่ถ่าย มันก็ถ่ายเฉพาะอึที่เหลวพอส่วนที่เหลือ ก็เกาะไปเรื่อยๆ อุจจาระตกค้างจะไปทับเส้นเลือดต่างๆ ในกระเพาะ และกดทับกระดูกหลัง ทำให้เกิดอาการมากมายเช่น ท้องอืด ปวดหลัง ปวดขา ปวดกล้ามเนื้อที่ไหล่และสะบัก เวียนหัวอ่อนเพลียนอนไม่หลับ เป็นฝ้า ไมเกรน และอื่น ๆ นั่นแหละเป็นที่มา..ที่คุณหมอพรทิพย์เขียนไว้ว่าเวลาผ่าศพจะเจออุจจาระตกค้างในลำไส้อย่างน่าตกใจ การนำอุจจาระตกค้างออกจึงจำเป็นต้องหาว่าเป็นที่สาเหตุใดใน 5 สาเหตุข้างต้น แต่ถ้าสามารถได้รับการตรวจด้วยลูกดิ่งเพนดูลั่มก็จะรู้ได้ สำหรับท่านที่ไม่สะดวกในการเดินทางมาให้ตรวจ ก็แนะนำให้ถ่ายพยาธิเสียก่อน แล้ว ลองสูตรอาหารดังต่อไปนี้

สูตรที่ 1 โยเกิร์ต + นมสด + น้ำผึ้ง + มะนาว ผสมโยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ถ้วย, นมสดรสจืด 100% 1 กล่อง, น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา และน้ำมะนาวครึ่งลูก คนให้เข้ากับแล้วดื่มทันที ห้ามวางแช่ทิ้งไว้ ถ้าดื่มก่อน 7 โมงเช้าจะดีมาก สูตรนี้ช่วยกระตุ้นลำไส้ให้ทำงาน เมื่อเราถ่ายคล่อง พุงก็ยุบตามไปด้วย ใส่ชุดไหนก็มันใจละวันนี้

สูตรที่ 2 นมสด + กล้วยน้ำหว้า สูตรนี้ใช้นมสด 2 กล่อง (รวมปริมาณประมาณ 500 มิลลิลิตร) กินพร้อมกับกล้วยน้ำหว้า 2 ผล หรือจะเอาไปปั่นรวมกันแล้วดื่มก็ได้ ดื่มตอนท้องว่างหลังตื่น ดื่มก่อน 6 โมงเช้าได้ยิ่งดี เพราะเราจะได้ถ่ายก่อน 7 โมงเช้า สูตรนี้ก็จะไปกระตุ้นให้ถ่ายออกมา แนะนำให้ทำติดต่อกัน 3 วัน จะช่วยให้เราขับถ่ายเป็นเวลาด้วย

สูตรที่ 3 น้ำเปล่า + เม็ดแมงลัก สูตรนี้ง่าย ๆ เลย แค่เตรียมน้ำร้อน 1 แก้ว ใส่เม็ดแมงลัก 2 ช้อนชา รอ 30 นาทีให้เม็ดแมงลักพองตัวเต็มทีก่อนแล้วค่อยดื่ม สูตรนี้แนะนำให้ดื่มก่อนนอน เม็ดแมงลักจะมีใยอาหารสูงและมีสรรพคุณเป็นยาระบายอ่อน ๆ จึงช่วยในการลากอุจจาระที่ตกค้างอยู่ในกระเพาะอาหารออกมาได้อย่างดีเลยทีเดียว ตื่นเช้ามาถ่ายคล่อง สบายพุง เบาตัวไปอีก

สูตรที่ 4 น้ำเปล่า 1 ลิตร + มะนาว 2 ลูก + เกลือ 2 ช้อนชา ใครจะทำสูตรนี้แนะนำว่าให้ทำวันหยุด เพราะทำสูตรนี้แล้วคุณจะถ่ายแบบไม่เป็นเวลาเลยทีเดียว เตรียมน้ำเปล่า 1 ลิตร บีบน้ำมะนาว 2 ลูก แล้วตามด้วยเกลือ 2 ช้อนชา และเขย่าให้เข้ากัน พยายามดื่มให้หมดภายใน 10-20 นาที พอดื่มหมดขวดแล้วสักพักคุณจะรู้สึกปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำทันที

สูตรนี้จะช่วยให้คุณถ่ายแบบหมดลำไส้จริง ๆ เหมือนช่วยผลักของเก่าที่มีอยู่ออกมาจนหมด สบายพุงแน่นอน แต่สูตรนี้แนะนำให้ทำอาทิตย์ละครั้งพอนะคะ ทำทุกวันไม่ไหวจริง ๆ

ที่มา share-si
Advertisements

อาการเครียดของคุณจะหมดไป แจกสูตรแช่เท้าดูดพิษร้อน ผ่อนคลายหลับสบายทั้งคืน


อาการเครียดของคุณจะหมดไป แจกสูตรแช่เท้าดูดพิษร้อน ผ่อนคลายหลับสบายทั้งคืน
Advertisements

ความเครียดเกิดขึ้นทุกเวลาที่เรามีชีวิตอยู่ แต่จะทำอย่างไรให้สามารถควบคุมและลดระดับความเครียด เพื่อให้สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ เพราะความเครียดส่งผลต่อร่างกายหลายอย่าง แต่ที่เด่นชัดและปฏิเสธไม่ได้ ก็คือ อาการปวดหัว ตึงบริเวณท้ายทอย คอบ่าไหล่ ปวดลูกตา หรือปวดขมับ นั่นเอง บางคนเลือกที่จะนั่งสมาธิเพื่อควบคุมจิต บางคนเลือกที่จะตั้งสติและย้อนหาเหตุผลของความเครียดนั้นๆ หรือบางคนก็เลือกที่จะปล่อยวาง แต่ทุกอย่างก็ไม่มีอะไรจะได้ดั่งใจเรา เพราะฉะนั้นวันนี้เราจึงจะมาแนะนำอีกหนึ่งวิธีในการคลายเครียดแบบง่ายๆ ทำได้ที่บ้าน แล้วคุณจะหลับสบาย คลายกังวลอย่างแน่นอน

สูตรแช่เท้าและมือดูดพิษร้อน!! สิ่งที่ต้องเตรียม

1. ใบตำลึง 2. ใบบัวบก 3. ใบย่านาง 4. ผักบุ้งไทย 5. รางจืด 6. น้ำมันหอมระเหยกลิ่นยูคาลิปตัส หรือ มิ้นส์ หรือกลิ่นที่ท่านชอบ 7. น้ำสะอาด 8. เกลือ 1 หยิบมือ

วิธีทำ

1. ตำเกลือและสมุนไพรที่กล่าวมาทั้งหมดให้พอแหลก 2. ผสมส่วนผสมลงในน้ำอุ่นเล็กน้อย จากนั้นหยดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นที่เตรียมไว้ลงไป 1-2 หยด เพื่อเพิ่มความผ่อนคลายให้มากขึ้น 3. แช่เท้าและมือลงไปในน้ำ ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที 4. เมื่อครบกำหนดแล้ว ให้เช็ดมือและเท้าให้แห้ง และทิ้งไว้ประมาณ 3 นาที 5. แช่เท้าและมือต่ออีกครั้งตามข้อ 3-4 ทำแบบนี้ 3 รอบ

เขาว่ากันว่า วีธีนี้จะช่วยให้คุณหายเครียด หายไม่สบาย และมีความสุขมากขึ้นกว่าเดิมได้ ใครอยากหันมาดูแลตัวเอง ลองเริ่มต้นด้วยวิธีที่ว่านี้ก่อนก็ได้ ไม่ต้องเดินทางไปสปาให้เสียเงินเสียเวลา แต่ได้ประโยชน์คุ้มค่าจริงๆ....ไม่เชื่อก็ลองดู

ที่มา คลินิกสมุนไพรหมอศุภการแพทย์แผนไทย drsupherb และ thaijobsgov
Advertisements

ปัญหาหน้าอกเล็กจะหมดไป..นี่คือพืชสุดหัศจรรย์ 6 ชนิด ที่จะทำให้คุณลืมซิลิโคนไปได้เลย


ปัญหาหน้าอกเล็กจะหมดไป..นี่คือพืชสุดหัศจรรย์ 6 ชนิด ที่จะทำให้คุณลืมซิลิโคนไปได้เลย
Advertisements

สิ่งนี้คือความปรารถนาของผู้หญิงเป็นจำนวนมาก พวกเธอจึงเลือกไปทำศัลยกรรมพลาสติกเพื่อเพิ่มขนาดหน้าอกให้ได้ขนาดที่ต้องการ อย่างไรก็ตามยังมีอีกหนึ่งวิธีจากธรรมชาติที่ดีที่สุดที่จะช่วยเพิ่มขนาดหน้าอกให้กับคุณ

วันนี้เราจะมาเปิดเผยถึงพืช 6 ชนิดที่มีประโยชน์อย่างมากมันจะช่วยเพิ่มขนาดเต้านมให้กับคุณ พืชชนิดนี้มีต้นกำเนิดมาจากประเทศกรีซ และทั้งหมดที่คุณต้องทำคือการนำมันไปแช่ไว้ในน้ำตลอดทั้งคืน และรุ่งเช้าให้นำน้ำที่แช่พืชชนิดนี้มานวดหน้าอกของคุณ คุณสามารถหาซื้อ Fenugreek ได้ในร้านขายยาสมุนไพรทั่วไป

โป๊ยกั๊ก มันเป็นสมุนไพรจีนซึ่งช่วยเร่งการเจริญเติบโตของเต้านม หากคุณต้องการเพิ่มขนาดของหน้าอกคุณควรเริ่มใช้มันตั้งแต่ตอนนี้

ต้นเฟนเนล (Fennel) นี้เป็นอีกหนึ่งพืชที่มีประโยชน์มาก มันมีไฟโตอีสโตรเจน (Phytoestrogen) ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของเต้านมและเพิ่มการผลิตน้ำนมสำหรับแม่ที่ให้นมบุตร พืชชนิดนี้ยังอุดมไปด้วยสารอนีโทล (anethole) ซึ่งสารชนิดนี้ช่วยเพิ่มการหลั่งฮอร์โมนในร่างกายและยังลดอาการคอลลิคในทารก

ชะเอ็ม พืชชนิดนี้มีส่วนผสมที่เป็นประโยชน์มากเช่นเดียวกับยี่หร่าและให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพเช่นเดียวกัน

กวาวเครือขาว สมุนไพรนี้พบมากในประเทศไทยและส่วนใหญ่นำมาใช้ในการทำผลิตภัณฑ์เพื่อต่อต้านริ้วรอย แต่มันยังใช้เป็นสารออกฤทธิ์ในครีมและยาสำหรับการเจริญเติบโตของเต้านมอีกเช่นกัน

เกรท เบอร์ด็อก (Greater burdock) หากคุณต้องการเพิ่มขนาดหน้าอกต้องบริโภคเกรท เบอร์ด็อกให้มากขึ้น เนื่องจากมันช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังเนื้อเยื่อเต้านมและอวัยวะสืบพันธุ์ของคุณให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น

เรียบเรียงข้อมูลโดย: แชร์กันไป
Advertisements

แจกสูตรเครื่องดื่มช่วยควบคุมปัญหาต่อมไทรอยด์ ลดความเสี่ยงโรคภัยต่างๆได้


แจกสูตรเครื่องดื่มช่วยควบคุมปัญหาต่อมไทรอยด์ ลดความเสี่ยงโรคภัยต่างๆได้
Advertisements

ต่อมไทรอยด์มีหน้าที่ในการผลิตฮอร์โมน และควบคุมการทำงานของหัวใจและสมอง ควบคุมระดับคอเลสเตอรอล ควบคุมการหายใจและอุณหภูมิในร่างกายของคุณ แต่เมื่อใดที่ต่อมไทรอยด์ผลิตฮอร์โมนออกมาไม่เพียงพออาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพที่รุนแรงต่างๆ เช่น ปัญหาหัวใจ อาการปวดข้อต่อ โรคอ้วน และภาวะมีบุตรยาก

นี่คืออาการที่พบบ่อยของโรคขาดไทรอยด์ฮอร์โมน (Hypothyroidism) :

• สูญเสียความจำ • ผมร่วง • น้ำหนักมากขึ้น, อ้วนขึ้น • ปวดกล้ามเนื้อ • อาการท้องผูก • ความเมื่อยล้า • ผิวแห้งกร้าน • หงุดหงิด • การแพ้ยาหรืออาหาร • ความต้องการทางเพศลดลง • ภาวะซึมเศร้า • อ่อนแอ โชคดีที่ตอนนี้เรามีน้ำผลไม้ธรรมชาติที่ช่วยรักษาอาการไทรอยด์บกพร่องนี้สำหรับคุณ

วิธีทำเครื่องดื่มที่สามารถควบคุมต่อมไทรอยด์ของคุณ:

ส่วนผสม

• น้ำมะนาว ¼ ช้อนชา

• ขิงผงแห้ง ¼ ช้อนชา

• ลูกจันทน์เทศ ¼ ช้อนชา

• อบเชยศรีลังกา ½ ช้อนชา

• น้ำส้ม ¾ ช้อนโต๊ะ

• น้ำแครนเบอร์รี่ 1 ถ้วย

วิธีทำ

นำน้ำ 2 แก้วใส่ลงในหม้อแล้วต้มให้ร้อนเพิ่มอบเชย ขิง ลูกจันทน์เทศ และน้ำแครนเบอร์รี่ตามลงไป คนให้เข้ากันและปล่อยให้ส่วนผสมเย็นลงเป็นเวลา 20 นาที จากนั้นใส่น้ำมะนาวและน้ำส้มในตอนท้ายและควรดื่มเครื่องดื่มขณะปรุงเสร็จใหม่ๆ เครื่องดื่มนี้จะช่วยควบคุมระดับฮอร์โมนของคุณและเพิ่มการเผาผลาญอาหารให้กับคุณ เพราะมันอุดมไปด้วยวิตามินที่ช่วยป้องกันการอักเสบในร่างกายและลดความเสี่ยงจากโรคภัยต่าง ๆ

ที่มา - รักสุขภาพ
Advertisements

วันศุกร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2560

5 วิธีกำจัดเห็บหมัดในสัตว์เลี้ยงให้สิ้นซาก ไม่ต้องพึ่งหมอ ทำได้เองก็ได้ คนเลี้ยงสัตว์ห้ามพลาด

5 วิธีกำจัดเห็บหมัดในสัตว์เลี้ยงให้สิ้นซาก ไม่ต้องพึ่งหมอ ทำได้เองก็ได้ คนเลี้ยงสัตว์ห้ามพลาด

Advertisements

เห็บ หรือ หมัด (Tick & Flea) ปรสิตขนาดเล็กที่ถือว่าเป็นปัญหาโลกแตกของคนเลี้ยงสัตว์ สำหรับคนที่กำลังมองหาวิธีกำจัดเห็บหมัดในสัตว์เลี้ยงให้สิ้นซากนั้น คุณสามารถทำได้ง่ายๆดังต่อไปนี้ค่ะ

1. ฉีดยากำจัดเห็บให้สัตว์เลี้ยงเดือนละครั้ง

2. หยอด ฟรอนท์ไลน์ พลัส (Frontline Plus) เดือนละ 1 ครั้ง

3. พ่นเสปร์ยไล่เห็บ ตามกรง หรือที่นอนสัตว์เลี้ยง

4. อาบน้ำสัตว์เลี้ยงด้วยแชมพูกำจัดเห็บสัปดาห์ละ 1 ครั้ง

5. ดูแลในเรื่องความสะอาดของบริเวณบ้าน หรือห้องพักให้สะอาดอยู่เสมอ

ที่มา share-si
Advertisements

แนะนำวิธีรักษาแผลเป็น ด้วยวิธีธรรมชาติ รอยนูนค่อยๆจางลง


แนะนำวิธีรักษาแผลเป็น ด้วยวิธีธรรมชาติ รอยนูนค่อยๆจางลง
Advertisements

รอยแผลเป็นบนร่างกายของเราจะมีสีที่เข้มสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน หลายคนไม่ชอบและอายที่จะมีพวกมัน ตอนนี้คุณไม่ต้องกังวลอีกต่อไป เพราะคุณสามารถแก้ปัญหานี้ได้ด้วยธรรมชาติสำหรับการลบรอยแผลเป็นที่คุณสามารถทำได้ด้วยตัวคุณเอง คุณต้องอดทนและอย่าลังเลที่จะลองรักษาด้วยวิธีธรรมชาตินี้และมันยังช่วยประหยัดเงินให้กับคุณอีกด้วย! หากคุณเริ่มเป็นแผลเป็นใหม่ๆ มันเป็นเวลาที่ดีที่สุดที่จะเริ่มต้นการรักษาให้หายได้อย่างรวดเร็ว และคุณต้องมั่นใจว่าแผลของคุณไม่แห้งจนเกินไปหรือยังเป็นแผลสดๆ สำหรับรักษาด้วยสูตรนี้

ไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์และเบคกิ้งโซดา

ส่วนผสมนี้เมื่อผสมแล้วจะมีเสียงดังแฉ่ คุณไม่ต้องตกใจมันไม่เป็นอันตรายต่อผิวหนังของคุณแต่มันกลับดีเพราะเบคกิ้งโซดาที่เข้าไปในเลือดนี้จะไปสร้างความสมดุลค่า pH ที่ดีในระดับเซลล์ เพียงทาส่วนผสมในบริเวณที่เป็นปัญหาเพียง 10 นาที จากนั้นล้างออกด้วยสบู่อ่อนๆ มันจะทำงานเป็นครีมฆ่าเชื้อที่ดีและยังมีราคาถูกอีกด้วย

มะนาวให้การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและฝรั่งมีสารสกัดจากวิตามินซี

วิธีนี้สามารถใช้ทำความสะอาดบ้านเรือนและวัสดุต่างๆ ได้เป็นอย่างดีและยังช่วยกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ตามผิวและผมได้อีกเช่นกัน วิตามินซีมีอยู่ในมะนาวสูงมาก

นอกจากนี้ยังมีอยู่ในพริกหวานสีแดง, เบอร์รี่, กีวี, ผักใบเขียวและฝรั่ง เมื่อนำส่วนผสมเหล่านี้มารวมเข้าด้วยกันจะยิ่งเพิ่มระดับความเข้มข้นของวิตามินซีให้สูงยิ่งขึ้น มันสามารถใช้เป็นยาสำหรับทาบริเวณที่เป็นปัญหาจะช่วยเพิ่มระดับคอลลาเจนให้มากขึ้นและยังช่วยต่อสู้สิวได้อีกเช่นกัน

น้ำมันจากแครอท

คุณอาจไม่เคยคิดว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่ดีมากและแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว น้ำมันจากพืชผักชนิดนี้ดีสำหรับรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิวและรอยแผลเป็นจากบาดแผลอื่นๆ น้ำมันของแครอทเป็นน้ำยาฆ่าเชื้อที่ยอดเยี่ยมมาก มันมีสารต้านอนุมูลอิสระและสามารถต่อสู้กับโรคมะเร็ง และยังทำหน้าที่เป็นยาขับปัสสาวะได้เป็นอย่างดี คุณสามารถกินหรือใช้ทาเพื่อแก้ปัญหาต่างๆ เช่น บาดแผล กรดในกระเพาะอาหาร และช่วยปรับปรุงการย่อยอาหาร เพียงแค่หยดน้ำมันลงไปและนวดน้ำมันให้ทั่วบริเวณผิวประมาณ 5-10 นาที วันละสองครั้งทุกวัน

น้ำมันจากต้นชา

น้ำมันชนิดนี้เป็นที่นิยมมากเพราะมันมีกลิ่นหอมที่อ่อนโยน และเหมาะมากสำหรับหญิงตั้งครรภ์ มันช่วยยับยั่งรอยแตกลายบนท้องและหยุดกระบวนการผลิตเม็ดสีที่มากเกินไป มันถูกนำมาใช้ในหลายวิธีสำหรับการรักษาและยังช่วยหยุดอาการปวดต่างๆ ได้ แม้กระทั่งช่วยทำความสะอาดผิวที่อ่อนโยนในช่องปากเพื่อใช้เป็นน้ำยาบ้วนปากได้อีกเช่นกัน หยดน้ำมันเพียงเล็กน้อยและนวดบนรอยแผลเป็นให้ทั่ว ทำเช่นนี้วันละ 2 ครั้งทุกวัน

น้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์ (ACV)

มันเป็นน้ำยาฆ่าเชื้อโรคที่ดีมากและยังสามารถช่วยดูแลช่องปากและเป็นประโยชน์มากสำหรับผู้ที่เป็นโรคกระเพาะและบาดแผลทั่วๆ ไปเพื่อใช้ในการทำความสะอาดแผล และเมื่อนำน้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์มาผสมกับน้ำสามารถใช้เป็นน้ำยาบ้วนปากที่มีประสิทธิภาพมาก นอกจากนี้คุณยังนำน้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์มาทำเป็นลูกประคบ และใช้ประคบบริเวณผิวที่มีปัญหาคุณอาจหยดน้ำมันหอมระเหยลงไปสักเล็กน้อยและนวดเบาๆ บนแผลเป็นของคุณมันจะช่วยป้องกันการติดเชื้อและทำให้ผิวสะอาดและชุ่มชื่น

ว่านหางจระเข้

มีหลักฐานมากมายยืนยันว่าพืชชนิดนี้สามารถบรรเทาการเผาไหม้และเพิ่มวิตามินอีและคอลลาเจนให้กับผิวของคุณ มันช่วยลดการอักเสบและยังกำจัดแบคทีเรียได้อีกเช่นกัน
Advertisements

ประโยชน์ 31 ข้อของมะพร้าว สรรพคุณตามตำราแพทย์ไทย ใช้ได้เกือบทั้งต้น

ประโยชน์ 31 ข้อของมะพร้าว สรรพคุณตามตำราแพทย์ไทย ใช้ได้เกือบทั้งต้น
Advertisements

ประมวลสรรพคุณมะพร้าวในตำราแพทย์ไทย

1 ลดไข้ วุ้นเนื้อมะพร้าวอ่อนกับน้ำมะพร้าวอ่อนเป็นยาเย็น ช่วยให้อาการไข้ตัวร้อนทุเลาลง

2 แก้ร้อนใน ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนในตอนเช้าให้หมด และในตอนบ่ายดื่มอีกลูกหนึ่งจนหมด กินเนื้อด้วยก็ได้

3 แก้ท้องเสีย ใช้รากมะพร้าวล้างสะอาด 3 กำมือ ทุบพอแตกต้มน้ำ 5 แก้ว เคี่ยวเอา 2 แก้ว ดื่มครั้งละครึ่งแก้ว เช้า กลางวัน เย็น

4 แก้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ น้ำกะทิเคี่ยวให้ร้อน เอาผักเสี้ยนผีล้างสะอาดสับเคี่ยวด้วยกัน ใส่เมนทอลเล็กน้อยเพื่อกลิ่นหอม และเพิ่มพลังแทรกซึมของตัวยานวด แก้ปวดเมื่อย ช้ำบวม อักเสบ

5 รักษาแผลเรื้อรัง เอากะลามะพร้าวถูตะไบ ได้ผงละเอียด ผสมกับน้ำมันมะพร้าว แทรกพิมเสนเล็กน้อย ทาแผลเรื้อรัง เช้า กลางวัน เย็น ทาบ่อยๆ

6 แก้จุกเสียด แน่นท้อง เอากะลามะพร้าวเผาไฟให้เป็นถ่าน มาบดเป็นผงละเอียด ละลายน้ำอุ่น ดื่มแก้จุดเสียดแน่นท้องได้ ดื่มสัก 1 - 2 ช้อนโต๊ะ

7 รักษาเกลื้อน เอากะลามะพร้าวแก่จัดที่ขูดแล้ว ที่มีรู มาใส่ถ่านไฟแดงๆ จะทำให้เกิดน้ำมันมะพร้าวไหลออกมา เอาน้ำมันนั้นทาโรคเกลื้อนได้ดีเยี่ยม ทาแล้วทิ้งไว้ 7 วันล้างออก ยางจะติดแน่นอยู่ เกลื้อนจะค่อยๆ หาย

8 แก้ปวดฟัน เอากะลามะพร้าวแก่จัด มีรู ขูดเอาเนื้อออกใหม่ๆ ใส่ถ่านไฟแดงลงไป รองน้ำมันมะพร้าวที่ไหลออกมาเก็บใส่ขวด ปิดแน่นไว้ ใช้สำลีพันปลายไม้ชุบน้ำมันมะพร้าว อุดรูฟันที่ปวด อย่าให้สัมผัสเหงือกหรือเนื้อเยื่ออื่นๆ จะเกิดความชาได้

9 รักษาคางทูม เอาน้ำมันมะพร้าวทาบริเวณคางทูมบ่อยๆ วันละ 2 - 3 ครั้ง ทาบางๆ 2 - 3 วัน อาการคางทูมจะดีขึ้น

10 รักษาดีซ่าน ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อน ครั้งละ 1 ผล เช้า กลางวัน เย็น ทุกวัน เพียง 2 วันก็หาย

11 รักษาแผลเป็น ใช้น้ำมันมะพร้าวที่ได้จากกะลามะพร้าวเผาไฟถ่าน ทาที่แผล แผลจะหายไปในไม่กี่วัน เมื่อแผลหายจะไม่เป็นแผลเป็น

12 แก้ตาอักเสบ เอาน้ำมะพร้าวอ่อน 1 ถ้วย ผสมน้ำตาลทรายแดงให้หวานจัดๆ เอาไว้ดื่ม วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น อาการอักเสบของดวงตาจะค่อยๆ หายไปเองในที่สุด

13 แก้คลื่นไส้อาเจียน เอามะนาว 1 ซีก บีบผสมน้ำมะพร้าวอ่อน ดื่มแก้อาเจียนได้ดี

14 แก้โรคบิด ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนครั้งละ 1 ผล เช้า กลางวัน เย็น แก้โรคบิดได้ดีมาก

15 บำรุงผิวพรรณ ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนสัปดาห์ละ 4 - 5 ผล ช่วยบำรุงผิวพรรณ แก้เม็ดผดผื่นคัน บำรุงร่างกายให้สดชื่น

16 แก้ปัสสาวะขัด ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อน ครั้งละ 1 ผล เช้า กลางวัน เย็น

17  แก้พิษเบื่อเมาได้ดี ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อน 1 ลูก ไม่กินเนื้อ อีก 2 - 3 ชั่วโมง ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนเย็นๆ เข้าไปอีก แก้วิงเวียน เมา ปวดท้อง ปวดไส้ ล้างพิษที่เกิดขึ้นได้ดี

18 แก้เมาเหล้า เอาน้ำมะพร้าวอ่อนไม่ต้องแช่เย็น ดื่มแก้เมา แก้อาเจียนจากเหล้าได้ดี

19 แก้ไอ เอาน้ำมะพร้าวห้าวมาดื่มจะมีสรรพคุณรักษาอาการไอได้ดีมาก ดื่มเฉพาะน้ำเท่านั้น

20 แก้ชันนะตุพุพอง น้ำมันมะพร้าวผสมเหง้าขมิ้นชัน สารส้มเล็กน้อย ทาบริเวณที่เป็นชันนะตุหรือใช้เพียงน้ำมันมะพร้าวเพียงอย่างเดียวก็ได้ผลดีเช่นกัน

21 แก้รังแค ใช้น้ำมันมะพร้าวที่ได้จากการเคี่ยวน้ำกะทิแก่จัด เคี่ยวได้น้ำมันมะพร้าวใหม่ๆ ให้เย็นลงทาศีรษะ 30 นาที แล้วสระออกด้วยแชมพู ใช้เพียงสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ก็เพียงพอแล้ว

22 รักษาน้ำกัดเท้า เอาน้ำมันมะพร้าวผสมสารส้ม น้ำปูนใส และเกลืออย่างละเล็กน้อย กวนคนผสมกันให้ดี เอามาทาแผลทันที บ่อยๆ จะหายเร็วขึ้น

23 แก้ผื่นคัน เอาเนื้อมะพร้าวขูดเคี่ยวน้ำมันออกมา แล้วเอากากที่เหลือเคี่ยวไปด้วยกันอย่าทิ้ง จนไหม้เกรียมดำ แล้วเอาน้ำมะพร้าวนี้ ซึ่งมีเนื้อมะพร้าวขูดที่ไหม้ไปใช้ประโยชน์ได้

24 รักษาฝ่ามือแห้งแตกและเล็บขบ ใช้น้ำมันมะพร้าวที่เคี่ยวใหม่มาใช้ได้ดี หรือใช้น้ำมันมะพร้าวที่ได้จากการเผากะลามีรูจากถ่านไฟก็ได้ ทาเช้า กลางวัน เย็น หรือหยอดเล็บขบ จะหายเร็วและไม่ปวด

25 แก้เบาหวาน เอามะพร้าวแก่ขูดเอาเนื้อคั่วให้เหลือง หอม กรอบ โรยเกลือเล็กน้อย ใส่ขวดปิดฝาแน่น รับประทานครั้งละ 1 ช้อนแกง เช้า กลางวัน เย็น สัก 10 - 15 วัน ระดับน้ำตาลจะลดลงเรื่อยๆ

26 แก้ปากเปื่อย ปากเป็นแผล อมน้ำกะทิสด (จากมะพร้าวแก่) ครั้งละ 5 - 10 นาที 2 - 3 วัน

27 รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ใช้มะพร้าวกะทิปิดแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ใช้ได้ดีทีเดียว

28 แก้ไข้ทับระดู เอาจั่นมะพร้าวหรือทะลายดอกมะพร้าว ที่ยังคงมีกาบหุ้มอยู่ ต้มน้ำดื่ม เช้า กลางวัน เย็น อาการไข้ทับระดูจะค่อยๆ หายไป ชาวบ้านบางคนใช้รากก็ได้ผล

29 รักษาลำไส้อักเสบ เอาเปลือกมะพร้าวมาสับเป็นชิ้นเล็กๆ ต้มน้ำดื่มต่างน้ำ ลำไส้อักเสบจะค่อยๆ ทุเลาลง จนกระทั่งหายไปในที่สุด (ควรใช้เปลือกมะพร้าวห้าว มะพร้าวแก่หรือมะพร้าวแห้ง)

30 แก้อีสุกอีใส ใช้ใบมะพร้าวต้มน้ำดื่ม แก้อีสุกอีใสได้

31 รักษาอาการเคืองตา ใช้เนื้อมะพร้าวอ่อนสดๆ แปะที่ดวงตา อาการเคืองตาจะทุเลาลงและหายไปได้

ข้อมูลจากเรื่องน้ำมันมะพร้าว บทบาทต่อสุขภาพและความงาม โดย ดร.ณรงค์ โฉมเฉลา ประธานเครือข่ายพืชปลูกพื้นเมืองไทย จัดพิมพ์เพื่อเผยแพร่ความรู้ โดยองค์การเภสัชกรรม (GPO)

ที่มา การทำอาหารและยาสมุนไพรเพื่อสุขภาพที่ดี
Advertisements

ลองดูนะ สูตรยืดผมให้ตรงแบบไม่ต้องง้อไดร์ ด้วยไข่และน้ำมันมะกอก


ลองดูนะ สูตรยืดผมให้ตรงแบบไม่ต้องง้อไดร์ ด้วยไข่และน้ำมันมะกอก
Advertisements

สิ่งที่ต้องเตรียม

1. ไข่

2. น้ำมันมะกอก

3. น้ำผึ้ง

วิธีหมักผม

1. สระผมให้สะอาดแล้วเช็ดผมให้หมายๆ ผสมไข่ 2 ฟอง + น้ำมันมะกอก 5 ช้อนโต๊ะ ให้เข้ากัน แล้วนำมาหนักผม คลุมไว้ด้วยหมวกอาบน้ำ 15 นาที แล้วจึ้งล้างออก

2. ผสมน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ กับน้ำมันมะกอก 3 ช้อนโต๊ะ แล้วหมักผมต่ออีก 15 นาที จึงล้างออก แล้วสระผมตามปกติ

หมักผมด้วยสูตรนี้อาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง แค่นี้ผมที่เคยแห้งชี้ฟู ก็จะมีน้ำหนัก ตรงสลวยเงางามขึ้นได้ เพราะในไข่มีโปรตีนสูงและถือเป็น moisturizers ตามธรรมชาติอย่างดี

อีกทั้งในไข่ขาวยังมีเอนไซม์ชนิดหนึ่งที่ช่วยกำจัดแบคทีเรียและน้ำมันส่วนเกินที่เส้นผมและหนังศีรษะ ส่วนน้ำมันมะกอกจะช่วยล็อคความชุ่มชื่นของเส้นผมเอาไว้ และสุดท้ายน้ำผึ้งมีวิตามินแร่ธาตุที่จำเป็น แถมยังให้ความชุ่มชื่นกับเส้นผมได้เป็นอย่างดี

ที่มา deedaily
Advertisements

ไม่ต้องออกแรงขัดห้องน้ำให้เหนื่อยอีกต่อไป แค่ทำแบบนี้ทิ้งไว้ ห้องน้ำก็สะอาดใหม่ ไร้กลิ่นฉุนแน่นอน

ไม่ต้องออกแรงขัดห้องน้ำให้เหนื่อยอีกต่อไป แค่ทำแบบนี้ทิ้งไว้ ห้องน้ำก็สะอาดเหมือนใหม่ ไร้กลิ่นฉุนแน่นอน

ห้องน้ำ เป็นห้องปลดทุกข์ที่นับว่าสกปรกมากที่สุดในบ้าน ยิ่งบ้านไหนมีคนอยู่เยอะ คุณยิ่งต้องรับศึกหนักในการล้างทำความสะอาดมากเข้าไปใหญ่ แต่ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้คุณเหนื่อย เพราะวันนี้เรามีวิธีง่ายๆที่ทำให้คุณไม่ต้องออกแรงขัดห้องน้ำให้เหนื่อยมากมาย แค่ทำแบบนี้ทิ้งไว้ ห้องน้ำก็สะอาดใหม่ ไร้กลิ่นฉุนได้แล้ว

อุปกรณ์ที่จะนำมาใช้ สามารถหาได้จากในบ้านทั้งนั้น ใครถนัดวิธีไหนก็นำไปทำตามได้เลยค่ะ
Advertisements

1. สเปรย์น้ำยาล้างจาน วิธีนี้ช่วยทำความสะอาดและดับกลิ่นห้องน้ำได้ในคราวเดียวกัน วิธี ผสมน้ำยาล้างจาน 1 ช้อนโต๊ะ กับน้ำเปล่า 6 ออนซ์ แล้วเทใส่ขวดสเปรย์ นำไปฉีดให้ทั่วชักโครก แล้วใช้แปรงขัดตาม หรือจะนำไปใส่ในแท็งก์น้ำของชักโครกก็ได้

2. น้ำมะนาวผสมเบกกิ้งโซดาและน้ำส้มสายชู เป็นสูตรผสมที่สามารถหาได้จากในห้องครัว ดังนี้

1. ผสมน้ำมะนาวกับเบกกิ้งโซดาให้เป็นเนื้อสครับเข้มข้น แล้วนำไปถูให้ทั่วชักโครก ทิ้งไว้ 15 นาที

2. เปิดฝาแท็งก์น้ำด้านหลังโถออก จัดการเทน้ำส้มสายชู ½ ถ้วยตวงลงไป ทิ้งไว้ 15 นาที กดน้ำทิ้ง 2-3 ครั้ง

3. เทน้ำส้มสายชูลงไปเพิ่มอีก ½ ถ้วยตวง ปล่อยทิ้งไว้สักพัก ระหว่างนั้นให้นำแปรงสีฟันที่ไม่ใช้แล้วมาขัดทำความสะอาดตามร่องเล็ก ๆ ที่ชักโครกให้สะอาด

4. กดน้ำทิ้งซ้ำอีกครั้ง ให้น้ำและน้ำส้มสายชูชะล้างคราบและกลิ่นฉี่ออกไป

3. เทสารฟอกขาวลงในโถส้วม

สำหรับบ้านไหนที่เจอปัญหากลิ่นปัสสาวะฉุนรุนแรง ให้แก่ดังนี้

1. นำสารฟอกขาว 1 ถ้วยตวง เทลงในโถส้วม แล้วทิ้งไว้สักพัก

2. นำฟองน้ำหรือแปรงขัดมาชุบสารฟอกขาวเพียงเล็กน้อย ขัดไปรอบ ๆ โถให้ทั่ว

3. กดน้ำในโถส้วมทิ้งไปหลาย ๆ รอบ

4. ก้อนเบกกิ้งโซดาดับกลิ่น

สำหรับใครที่อยากให้ห้องน้ำไร้กลิ่นฉุนไปนานๆ เรามีวิธีการผสมลูกเหม็นดับกลิ่น ด้วยวิธีต่อไปนี้ค่ะ

1. นำเบกกิ้งโซดามาผสมกับกรดมะนาว น้ำส้มสายชู ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ และน้ำมันหอมระเหย

2. คนส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันดี จากนั้นตักใส่แม่พิมพ์

3. รอให้ส่วนผสมจับตัวเป็นก้อน เก็บใส่ขวดโหลไว้ใช้ในห้องน้ำ

4. เมื่อได้กลิ่นเหม็นเมื่อไร ก็หยิบก้อนดับกลิ่นใส่โถส้วมลงไปเลยค่ะ ง่ายและสะดวกมาก

อีกหนึ่งต้นทางของกลิ่นอาจไม่ได้อยู่ที่ชักโครก แต่เป็นเพราะส่วนประกอบอื่นๆต่างหาก ตัวการที่สำคัญที่จะทำให้เกิดกลิ่น ก็คือ “พรมเช็ดเท้า” เพราะเป็นแหล่งเก็บความอับชื้น และอาจจะมีฉี่สะสมไว้เป็นเวลานานจนทำให้ส่งกลิ่นเหม็นไปทั่ว ดังนั้น จึงควรซักทำความสะอาดพรมในห้องน้ำบ่อยๆนะคะ เห็นหรือไม่คะว่า การกำจัดกลิ่นฉี่ฉุน ๆ ในห้องน้ำไม่ใช่เรื่องยากเกินไป ไม่จำเป็นต้องมีตัวช่วยเป็นน้ำยาล้างห้องน้ำกลิ่นรุนแรง เราก็สามารถประยุกต์ใช้อุปกรณ์ใกล้ๆตัวได้ และบางสูตรก็ยังมีประสิทธิภาพที่ดีกว่าอีกด้วย

แค่นำวิธีการและสูตรดับกลิ่นที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ไปลองทำและใช้กันดู แล้วจะรู้ว่างานทำความสะอาดบ้านมันง่ายกว่าที่คิดเยอะ แถมยังได้ผลดีจนต้องบอกต่อกันเลยทีเดียว

ที่มา - chaoprayanews
Advertisements

แจก 4 สูตรสมุนไพร ช่วยรักษาเก๊าท์ ล้างกรดยูริก แบบวิธีธรรมชาติ


แจก 4 สูตรสมุนไพร ช่วยรักษาเก๊าท์ ล้างกรดยูริก แบบวิธีธรรมชาติ

Advertisements

สมุนไพรไทย ๆ หลายชนิด สามารถรักษาโรคเก๊าท์ ล้างกรดยูริก หาง่าย ทำง่าย กินง่าย ราคาถูก ไม่ต้องทรมานกับอาการปวด และไม่ต้องเสียเงินซื้อยาให้มีสารเคมีตกค้างที่ไต ตับจะได้ไม่ต้องทำงานหนัก

สูตร 1 น้ำมะกรูด ผสมน้ำผึ้งนิดหน่อย แล้วเอาน้ำอุ่นเติมใส่ไม่ต้องมาก หรือน้ำเย็น ผสมแล้วนำมาดื่ม ใช้เวลาประมาณเดือนครึ่ง ดื่มทุกวันช่วยบรรเทาอาการ

สูตร 2 ใบรางจืด 5 ใบ + ใบเตย 5 ใบ ต้มน้ำ 2 ลิตร ดื่มทุกวัน จะช่วยลดการเป็นเก๊าต์ – รูมาตอยด์ สูตรนี้ลดหินปูนได้ดีที่สุด

สูตร 3 ใบยอ 4 ใบ + มะตูมแห้ง 1 แว่นย่างไฟให้เหลือง นำมาต้มกับน้ำ 3 ขวด เคี่ยวให้เหลือ 2 ขวด ดื่มกินต่างน้ำทุกวันจนกว่าจะหาย

สูตร 4 ใบมะรุมสดๆ 3 ยอด ต้มน้ำ 2 ลิตร ดื่มทุกวัน ลดอาการเก๊าต์ได้ สูตร 5 มะละกอดิบ 1 ลูก เอาเมล็ดออก ไม่ต้องปลอกเปลือก ล้างให้สะอาด หั่นเป็นทอนๆ ต้มน้ำ 3 ลิตร ดื่มทุกวันอาการปวดลดลงจนหาย

อาหารที่ช่วยลดอาการเก๊าท์

1. ใบย่านางสดวันละ 10-20 ใบ ตามน้ำหนักตัวคั้นน้ำดื่ม ดื่มบ่อย ๆ แต่ไม่จำเป็นต้องทุกวัน

2. ใบรางจืด + ใบเตย ต้มน้ำดื่มประจำ

3. ใบมะรุมสด ลวกจิ้มน้ำพริก

4. ลูกเดือยต้มกับข้าวเจ้า แบบข้าวต้ม ทานบ่อย ๆ

ข้อมูลจาก kaijeaw
Advertisements

วันพฤหัสบดีที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2560

คุณมีอาการแบบนี้บ่อยมั้ย..นี่คือ 5 สัญญาณเตือนจากร่างกาย ที่บอกว่าคุณอาจมีอาการหัวใจวายได้

คุณมีอาการแบบนี้บ่อยมั้ย..นี่คือ 5 สัญญาณเตือนจากร่างกาย ที่บอกว่าคุณอาจมีอาการหัวใจวายได้
Advertisements

โชคไม่ดีนักที่กว่าหนึ่งล้านคนทรมานกับปัญหาโรคหัวใจต่างๆหลายประเภท และอาการหัวใจวายเป็นสาเหตุแรกหลักที่คร่าชีวิตชาวอเมริกัน ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นของอาการหัวใจวายนั้นส่วนใหญ่เกิดจากชีวิตความเป็นอยู่ในยุคสมัยใหม่ ความเครียด การติดเชื้อ และอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ หนทางที่จะต่อกรกับความเครียดและการใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาพที่ดี อย่างแรกที่คุณต้องระวังคืออาการหัวใจล้มเหลว ซึ่งถ้าหากคุณรู้สัญญาณที่ร่างกายกำลังเตือนคุณได้ละก็จะสามารถรักษาชีวิตของคุณเอาไว้ได้เช่นกัน

หายใจถี่ หายใจถี่เป็นหนึ่งสัญญาณเตือนของร่างกายคุณก่อนหัวใจจะวาย เนื่องจากการไหลเวียนของเลือดลดลงหลอดเลือดแดงตีบ ปอดทำงานผิดปกติไม่สามารถรับเลือดที่ร่างกายต้องการได้ เพราะปอดและหัวใจต้องทำงานร่วมกัน ถ้าหากมีส่วนใดส่วนหนึ่งทำงานผิดปกติก็จะส่งผลกระทบต่ออีกส่วนเช่นเดียวกัน

ร่างกายอ่อนแอ ถ้าเส้นเลือดแดงตีบ ก็จะทำให้การไหลเวียนของเลือดลดลงและทำให้เลือดไหลเวียนวนไม่สามารถออกไปได้ จะเป็นสาเหตุที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงและร่างกายอ่อนแอ คุณควรระวังถ้าหากคุณเคยมีอาการแบบนี้ เพราะเป็นอาการที่พบบ่อยที่สุดและเป็นสัญญานเตือนแรกๆของอาการหัวใจวาย

แน่นหน้าอก สัญญาณที่เข้าใกล้อาการหัวใจวายเมื่อรู้สึกเจ็บและแน่นหน้าอกรุนแรงขึ้นจนลามไปถึงแขน หลังและบริเวณไหล่

วิงเวียนและมีเหงื่อออกเยอะ เลือดไปเลี้ยงสมองน้อยและหมุนเวียนได้ใม่ดีซึ่งทำให้เกิดเหงื่อออกทั้งๆที่ไม่ได้มาจากความร้อนและวิงเวียนศีรษะ เนื่องจากสมองทำงานได้อย่างไม่เต็มประสิทธิภาพทำให้คุณรู้สึกไม่สบายและเปียกชื้น

เมื่อยล้า เมื่อการไหลเวียนของเลือดลดลงทำให้ส่งไปเลี้ยงหัวใจได้น้อย ผลคือคุณจะรู้สึกเมื่อยล้าเนื่องจากหัวใจได้รับเลือดไม่เพียงพอที่จะทำงานได้อย่างเต็มที่ ถ้าหากคุณรู้สึกเหมือนเหนื่อยอ่อนและล้าตลอดเวลา คุณควรไปพบแพทย์เพื่อดูอาการของคุณ

อาการเหล่านี้บ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงและปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ ดังนั้นคุณไม่ควรปล่อยละเลย สิ่งสำคัญหากคุณสามารถเปลี่ยนแปลงกิจวัตรประจำวันได้ คุณก็จะสามารถหลีกเลี่ยงภัยคุกคามและรักษาชีวิตของคุณต่อไปได้
Advertisements

ดีจริงต้องบอกต่อ..แจกสูตรผงพิเศษ ที่ใช้แล้วสิวหาย หน้าขาวใสมาก ดูอ่อนกว่าวัย

ดีจริงต้องบอกต่อ..แจกสูตรผงพิเศษ ที่ใช้แล้วสิวหาย หน้าขาวใสมาก ดูอ่อนกว่าวัย

Advertisements

ผงพิเศษตราร่มชูชีพ มีสรรพคุณในการยับยั้งและฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ตกอยู่ตามรูขุมขน ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสิว ขอแนะนำสูตรผงพิเศษ ที่เขาว่าดีใช้แล้วสิวหาย หน้าใส!!

สูตร 1 : ขัดหน้าด้วยผงพิเศษและมะนาว

ช่วยผลัดเซลผิวที่ตายแล้ว ขี้ไคล้ สิวเสี้ยน ทำให้ผิวหน้าสดใส ไม่หมองคล้ำ

สิ่งที่ต้องเตรียม

1. ผงพิเศษตราร่มชูชีพ 2 ซอง

2. มะนาว 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีใช้

1. นำส่วนผสม 2 อย่างมาผสมให้เข้ากัน

2. ล้างหน้าให้สะอาด

3. จากนั้นประคบด้วยน้ำร้อน เพื่อเป็นการเปิดรูขุมขน

4. นำผงพิเศษที่ผสมไว้ ขัดถูลงใบบนใบหน้า

5. ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างให้สะอาด

สูตร 2 : พอกหน้าด้วยผงพิเศษและไข่แดง

เพื่อใบหน้าที่เนียนนุ่มและปราศจากสิว

สิ่งที่ต้องเตรียม

1. ไข่ไก่ 1 ฟอง เลือกใช้เฉพาะไข่แดง

2. ผงพิเศษตราร่มชูชีพ 1 ซอง

3. กระดาษทิชชู่เช็ดหน้าตัดเป็นชิ้นสี่เหลื่ยม ขนาด 1 นิ้วv วิธีใช้

1. นำไข่แดงผสมกันผงพิเศษ ผสมให้เนียนเป็นเนื้อเดียวกัน

2. ทำความสะอาดผิวหน้าให้สะอาด

3. นำส่วนผสมมาพอกหน้า โดยเว้นบริเวณรอบดวงตาและปาก

4. จากนั้นนำกระดาษทิชชูที่เตรียมไว้แปะทับอีกทีให้ทั่วใบหน้า

5. รอประมาณ 20 นาที จึงลอกทิชชูออก จะเห็นเซลผิวที่ตายแล้วหลุดออกมาด้วย

6. ล้างหน้าให้สะอาดและบำรุงหน้าตามปกติ

สูตร 3 : พอกหน้าด้วยผงพิเศษและโยเกิร์ต

ช่วยให้ผิวหน้าหมองคล้ำ กลับมาสดใส ไร้สิว และรูขุมขนกระชับ

สิ่งที่ต้องเตรียม

1. โยเกิร์ตรสธรรมชาติ และแบบไม่พร่องไขมัน 2 ช้อนโต๊ะ

2. ผงพิเศษตราร่มชูชีพ 1 ซอง

3. มะนาว 1 ช้อนชา

วิธีใช้

1. ผสมโยเกิร์ต 2 ช้อนโต๊ะ + ผงวิเศษ 1 ซอง + น้ำมะนาว 1 ช้อนชา คนผสมให้เข้ากัน

2. ล้างหน้าให้สะอาด

3. นำส่วนผสมมาพอกหน้า เว้นรอบดวงตาและปาก

4. นวดวนเป็นวงกลม ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วล้างออกให้สะอาด

หลังจากที่ได้อ่านกันแล้ว ใครที่อยากมีผิวหน้าเป็นแบบไหนก็ลองเลือกใช้ตามสูตรด้านบนที่ตัวของคุณเองต้องการได้เลย ทำได้ง่ายแถมราคาถูกอีกด้วย

ที่มา : thaiza
Advertisements

บอกต่อกันไป..10 ผักพื้นบ้าน กินต้านความจำเสื่อม ชะลอความแก่ บำรุงสมองได้

บอกต่อกันไป..10 ผักพื้นบ้าน กินต้านความจำเสื่อม ชะลอความแก่ บำรุงสมองได้

Advertisements

ความจำ เพิ่มได้ ด้วยการกินอาหารบำรุงสมอง หนึ่งในนั้นคือ “ผักพื้นบ้าน” ที่หาง่ายใกล้ตัวคุณ

ผักกูด ผักกูดอร่อยต้องกินหน้าแล้งเพราะรสชาติไม่ฝาดเหมือนในฤดูอื่นๆ อร่อยตรงจืดอมหวานเนื้อกรอบ ส่วนใหญ่นิยมกินยอดและใบอ่อน ผักกูดน้ำไม่นิยมกินสด มักเอา ไปต้มหรือเอาไปลวก นอกจากกินเป็นผักแนม ผักกูดน้ำยังใช้ ต้ม ยำ ทำแกงหรือผัดกับน้ำมันเฉยๆ ก็อร่อยเหลือหลาย เคล็ดลับการทำแกงส้มผักกูดควรใส่ปลาช่อนถึง จะเข้ากันได้ดี

ใบชะพลู ไม้พุ่มขนาดเล็ก ใบดกหนา ชะพลูมีชื่อเรียกต่างๆกัน ภาคเหนือเรียกว่าผักแค ผักปูนา พลูนก พลูลิง ภาคใต้เรียกว่าผักนมวา อีสานเรียกว่าผักอีเลิด ผักเล็ก ผักปูลม ใบชะพลูมีกลิ่นหอม รสเผ็ดอ่อนๆ เป็นผักสดที่นิยมกินกับอาหารรสแซบ เช่น ลาบ น้ำตก ปลาย่าง ร่วมถึงน้ำพริกชนิดต่างๆ เป็นเครื่องปรุงที่เสริมรสอาหารได้ดี อาทิ แกงแคของภาคเหนือ ส่วนภาคอีสานนิยมใส่ในแกงอ่อมต่างๆ แกงขนุนอ่อน แกงหัวปลี ภาคใต้ใช้แกงกะทิใส่ใบชะพลูกับหอยแครง ส่วนภาคกลางนิยมใส่แกงคั่วหอย ขม หรือกินกับข้าวมันส้มตำ และที่นิยมมากที่สุดคือกินเป็นใบห่อเมี่ยงคำที่ให้รสชาติเข้ากันอย่างดี กินแล้วช่วยบำรุงธาตุ ขับลม แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ

ผักหวาน ผักหวานมีรสชาติหวานสมชื่อ นิยมนำไปนึ่งแล้วจิ้มกับน้ำพริกแจ่วสารพัดชนิด นอกจากนี้ยังใช้ทำแกงได้อร่อยอีกต่างหาก คนอีสานนิยมนำไปแกงใส่ใข่มดแดง อันเป็น อาหารยอดฮิต หรือแกงใส่ปลาย่างผสมใบชะอม ทำเป็นแกงอ่อมก็อร่อยดี ทางเหนือนิยมแกงผักหวานใส่ปลาย่างกับวุ้นเส้น งบผักหวานใส่มดแดงสุดอร่อย และคนกรุง ยังนำผักหวานไปผัดกับน้ำมันร้อนๆ ปรุงด้วยซีอิ๊ว เหยาะเกลือนิดก็อร่อย

บัวบก คนไทยทั่วทุกภาคนิยมกินบัวบก แต่ชื่อที่เรียกจะแตกต่างกันไป ภาคเหนือและอีสานเรียก ผักหนอก ภาคใต้เรียกผักแว่น ใบบัวบกมีรสขมอ่อนๆ กลิ่นหอมและเป็นพืชที่ กินสดๆ ได้ทั้งก้านและใบ จึงเป็นผักแกล้มอาหารรสเข้มข้นจานต่างๆได้อร่อย เช่น แกล้มน้ำพริก ส้มตำ และอาหารจานเดี่ยว เช่น หมี่กรอบ ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย นอกจาก นี้ยังใส่ในแกงเผ็ดและยำ ทำให้รสชาติอาหารอร่อยขึ้น

นอกจากทำอาหารแล้วบัวบกยังนำมาคั้น ผสมน้ำตาลเล็กน้อย เป็นน้ำสมุนไพรดื่มให้รสหวาน หอม เย็นชุ่มคอ บัวบกช่วยระบายความร้อน แก้อ่อนเพลีย บำรุงหัวใจ บำรุงสมอง แก้ไมเกรน ชาวจีนเชื่อว่า บัวบกแก้ช้ำใน ทำให้เลือดกระจาย หายฟกช้ำเร็วขึ้น

ผักปลัง ชาวเหนือเรียกผักปั๋ง กินอร่อยได้ทั้งยอดอ่อน ใบอ่อนและดอกอ่อน กินเป็นผักต้ม ลวกหรือนึ่งสุก จิ้มน้ำพริก ชาวเหนือนิยมกินกับน้ำพริกดำ น้ำพริกตาแดง เอาไปแกง กับถั่วเน่า จอ(แกงชนิดหนึ่งของชาวเหนือมีรสเปรี้ยวแต่ไม่เผ็ด)ผักปั๋งใส่มะนาว ดอกเอาจอกับแหนม ชาวเหนือกับอีสานเอายอดอ่อนกับดอกอ่อนไปแกงส้ม เคล็ดลับ ความอร่อย ควรใส่ผักปลังลงในหม้อเป็นสิ่งสุดท้ายหลังจากน้ำแกงเดือดเต็มที่ เวลาใส่ผักลงไปควรกดให้จม พอเดือดสักพักก็ปิดไฟ ไม่ควรรอให้เดือดนาน เพราะจะ ทำให้ผักปลังเละไม่น่ากิน ชาวเมืองกรุงทำเป็นผัดผักไฟแดง หรือผัดน้ำมันหอย ผักปลังช่วยในการระบาย จึงเหมาะสำหรับผู้สูงอายุที่มีปัญหาเรื่องการขับถ่าย

ไหลบัว ไหลบัวคือหน่ออ่อนของต้นดอกบัวหลวงที่ยังไม่โผล่พ้นน้ำ ซึ่งต่างจากสายบัวที่เป็นส่วนก้านดอกของบัวสาย ไหลบัวมีความกรอบและรสชาติหวานมันจึงนิยมนำมากิน สด คนอีสานนิยมกินเป็นผักสดกับส้มตำ แต่คนภาคกลางนิยมนำไปแกงส้ม ผัด หรือไม่ก็กินสดๆ ปัจจุบันเป็นไหลบัวผัดกุ้งเป็นเมนูยอดนิยมในภัตตาคารจีน ถือเป็นยา เย็น ช่วยบำรุงร่างกาย

ผักแพว ผักแพวหรือที่คนอีสานเรียกว่าผักแพ้ว ผักพริกม้า ส่วนคนเหนือเรียกผักไผ่ ความอร่อยของผักแพวอยู่ที่กลิ่นหอมและรสร้อนแรง จึงนิยมกินเป็นผักสดแนมกับ อาหารรสจัดแทบทุกชนิด และนำไปปรุงเป็นเครื่องปรุงรสในอาหารประเภทลาบ และใส่แกงปลารสจัด เพื่อตัดกลิ่นคาวปลาพร้อมกับปรุงอาหารประเภทหอยเพื่อเสริม ความหอม กินแล้วช่วยขับลมในกระเพาะดีนัก

ใบยอ น่าอัศจรรย์ใจที่รสขมของใบยอ และกลิ่นเฉพาะตัวนี้ มีบทบาทอย่างมากในอาหารไทยทั่วทุกภาค ที่เด่นสุดคือ ภาค กลางใช้เป็นผักรองกระทงห่อหมก เพราะความ อร่อยของห่อหมกเข้ากันได้ดีกับใบยอ และยังไม่มีผักอื่นเข้ามาแข่งได้ ส่วนภาคอีสานนำไปทำแกงอ่อมใบยอ และภาคใต้ก็มีแกงรสเด็ดไม่แพ้กันคือ แกงเผ็ดปลาใส่ ขมิ้นใบยอ การกินใบยอให้อร่อยควรตัดเส้นกลางใบออกและลวกก่อนนำมาแกง จะช่วยลดความขมได้ ใบยอช่วยบำรุงร่างกาย แก้ปวดท้อง ท้องร่วง

ย่ายาง จัดเป็นพืชประจำครัวภาคเหนือและอีสาน ภาคเหนือเรียกว่า จ้อยนาง ครัวอีสานใช้ใบย่านางผสมกับข้าวเบือ(ข้าวสารที่ตำละเอียด ใช้ผสมกับน้ำแกงเพื่อให้น้ำแกง ข้น)มาทำแกงหน่อไม้ไผ่ป่า เป็นลักษณะต้มเปอะ คือแกงที่มีน้ำขลุกขลิก ใบย่านางทำให้เกิดรสกลมกล่อมอมหวาน อีกทั้งเพื่อกลบรสขื่นและขมนิดๆ ของหน่อไม้สด นอกจากนี้ยังผสมซุปหน่อไม้ ใส่แกงขี้เหล็กแบบพื้นบ้าน แกงกับยอดหวาย ภาคเหนือใส่ในแกงพื้นเมืองที่คล้ายกัน ใบย่านางที่นำมาใช้ในการทำอาหารนั้นยิ่งใส่มาก เท่าไร ยิ่งทำให้อาหารจานนั้นอร่อยยิ่งขึ้น กินย่านางช่วยดับพิษร้อนถอนพิษไข้ได้

หัวปลี ปลีกล้วยที่ใช้ทำอาหารส่วนใหญ่เป็นปลีกล้วยน้ำว้า เพราะฝาดน้อยและหาง่ายกว่ากล้วยพันธุ์อื่นๆ หัวปลีสีแดงเมื่อแกะใบเลี้ยงออกจนถึงชั้นที่มีสีขาวนวล จะนำ มาผ่าปลีตามยาวเป็นส่วนๆ แล้ว ต้องนำไปแช่น้ำผสมน้ำมะขามเปียกหรือน้ำมะนาวก่อน เพื่อรักษาปลีกล้วยให้ขาวนวลน่ากิน อาหารไทยนิยมกินปลีกล้วยสดกับ เต้าเจี้ยวหลน กะปิคั่ว ผัดไทย ชุบแป้งทอด ปรุงเป็นแกงเลียง หัวปลีแก้โลหิตจาง ลดความดันโลหิต แก้ร้อนใน กระหายน้ำ

ที่สำคัญคือบำรุงน้ำนมใน คุณแม่ลูกอ่อน ผักเป็นแหล่งที่อุดมด้วยเส้นใยอาหารตามธรรมชาติ มีโปรตีน เกลือแร่ และวิตามิน โดยเฉพาะวิตามินเอ บี ซี อี และเค รวมทั้งสารอื่นๆ เช่น ไบโอฟลาโวนอยด์และน้ำ ย่อยบางชนิด ซึ่งล้วนสำคัญและจำเป็นต่อการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพของร่างกาย ซึ่งล้วนมีอุดมอยู่ในผักพื้นบ้านของไทย

หลากวิธีปรุงเมนูผักพื้นบ้าน เผา เช่น หน่อไม้ มะเขือ หัวปลี มะระขี้นก มะเขือพวง หลาม (การเอาผักใส่กระบอกไม้ไผ่แล้วผาให้สุก) ผักใบ ดอกโสน นึ่ง ฝักหัว เห็ด ฟักทอง เผือก มัน ต้ม ฝักหัว ผักใบ เห็ด การถนอม ดอง เชื่อม ตากแห้ง เช่น หน่อไม้ดอง ผักเสี้ยนดองตากแห้ง ดอกงิ้ว เห็ด พริก ยำ คลุก เช่น ยำตะไคร้ ยำหัวปลี ยำถั่วพลู ยำหยวกกล้วย ยำข่า ยำกระถิน ผัด ใช้กับผักได้ทุกชนิด กินสดๆ เป็นเครื่องจิ้มน้ำพริก หลน เคล็ดลับคงคุณค่าสารอาหารในผักพื้นบ้าน ล้างก่อนปอก (ตัดราก ตัดขั้ว) ปอกหั่นแล้วใช้ทันที การต้มต้องใช้น้ำเดือดไฟแรง น้ำน้อย เวลาสั้น ปิดฝา การผัดต้องใช้ไฟแรงผัดเร็ว ไม่ควรปล่อยให้ผักเหี่ยว ควรเก็บผักให้สดเสมอ

ที่มา goodlifeupdate
Advertisements

อย่าถอนทิ้ง..ผักเบี้ยใหญ่ เพราะมันมีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างน่าทึ่งมากๆ

อย่าถอนทิ้ง..ผักเบี้ยใหญ่ เพราะมันมีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างน่าทึ่งมากๆ

Advertisements

ผักเบี้ยใหญ่ (Purslane) ที่ทุกคนคิดว่ามันเป็นวัชพืชที่ขึ้นในสนามหลังบ้านของคุณ บทความนี้จะช่วยเปลี่ยนความคิดคุณ ผักเบี้ยใหญ่ มีถิ่นกำเนิดในเปอร์เซียและอินเดีย แต่ตอนนี้มันสามารถเติบโตได้ทั่วทุกมุมของโลก ในบางวัฒนธรรมจะปลูกและใช้ในการทำอาหาร ในขณะที่คนอื่น ๆ เข้าใจว่ามันเป็นวัชพืชและมักจะเอามันไปทิ้งในถังขยะพร้อมกับวัชพืชอื่นๆ

ดอกเบี้ยใหญ่มีใบขนาดเล็กและมีดอกสีเหลืองเล็ก ๆ มันอาจจะมีรูปลักษณ์ไม่สวยนักแต่คุณจะต้องตกตะลึงกับคุณประโยชน์ของมันอย่างแน่นอน เมล็ดของผักเบี้ยใหญ่มีประสิทธิภาพสูงมากและปลอดภัยไม่มีอันตรายใดๆ ผักเบี้ยใหญ่ชอบสภาพอากาศแห้งและชอบขึ้นตามสวนหย่อม มันเป็นพืชที่มีความคงทนและเป็นสมุนไพรใช้ในการรักษาที่น่าอัศจรรย์ บางคนใช้มันเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกัน ซึ่งจะทำให้สุขภาพโดยรวมอยู่ในระดับที่เหมาะสม

แม้ว่ามันจะถูกเรียกว่าเป็นพืชของหมู แต่ก็เป็นทางเลือกที่ดีมากสำหรับหมูมากกว่าธัญพืชจีเอ็มโอที่มันควรจะได้รับ เชื่อหรือไม่ว่าดอกเบี้ยใหญ่มีไขมันโอเมก้า 3 สูงกว่าน้ำมันปลาที่คุณใช้ นอกจากนี้ ใบของมันยังอุดมไปด้วยวิตามินเอ ซึ่งรู้กันว่าวิตามินเอสามารถช่วยเสริมสุขภาพตาและยังสามารถต่อต้านและป้องกันโรคมะเร็งต่างๆ ได้ มีสารต้านอนุมูลอิสระที่แข็งแกร่ง

มันมีสารประกอบอยู่ 2 ประเภท คือบีทาเลน (betalain) สารให้สีในพืช และบีตาแซนทิน (betaxanthin) สารสีแดง ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า สารแต่ละตัวมีประสิทธิภาพ มีฤทธิ์ต้านการกลายพันธุ์ และยับยั่งสารต้านอนุมูลอิสระ ผักเบี้ยใหญ่ มีวิตามิน C วิตามินบีรวม ไนอาซิน วิตามินบี 2 แคโรทีนอยด์ และแร่ธาตุ เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม และธาตุเหล็ก

สรุปได้ว่า ผักเบี้ยใหญ่มีศักยภาพช่วยทำให้สุขภาพดีขึ้น คุณลองใช้พืชธรรมดาๆ ที่ขึ้นตามสนามหลังบ้านแทนผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีราคาแพงดูสิ...
Advertisements

วันพุธที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2560

กินกันบ้าง..นี่คือคือประโยชน์ของกระเจี๊ยบ ที่ส่งผลกับร่างกายเรา บอกเลยว่าดีมากๆ


กินกันบ้าง..นี่คือคือประโยชน์ของกระเจี๊ยบ ที่ส่งผลกับร่างกายเรา บอกเลยว่าดีมากๆ
Advertisements

กระเจี๊ยบเขียว เป็นผักที่คนทั่วโลกใช้ในการบริโภค ใช่แล้ว…คนทั่วไปนิยมทานมัน ถึงแม้ว่าผิวของมันจะลื่น, ลักษณะคล้ายนิ้วมือผู้หญิง ทำให้มันมีรสชาติฝาดๆ ไม่ค่อยอร่อย ถ้ามีสิ่งหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการมีหุ่นดีแล้วละก็ พวกเขาจะเห็นว่ากระเจี๊ยบมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมายเลยทีเดียว กระเจี๊ยบสามารถเอามาทำประโยชน์ได้หลายอย่าง แต่โดยทั่วไปแล้วมักจะเสิร์ฟคู่กับผักอื่นๆ ทานกับข้าวและน้ำซุป บางทีการค้นคว้านี้จะช่วยในการตัดสินใจนำกระเจี๊ยบมาเป็นส่วนหนึ่งในเมนูเป็นอาหารต่อไปในวันข้างหน้า

ไต จากการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์จี๋หลิน ปี2005 คนที่นิยมบริโภคกระเจี๊ยบเขียวแสดงให้เห็นถึงการปรับปรุงโรคไตหรือโรคที่เกี่ยวกับไต การศึกษานี้ได้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกรักษาโดยกระเจี๊ยบเขียว และอีกกลุ่มรักษาโดยวิธีการบำบัดทางการแพทย์แบบดั้งเดิมเป็นเวลา 6 เดือน ในตอนท้ายของการศึกษาพบว่า ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในกลุ่มที่รักษาด้วยการแพทย์แบบดั้งเดิม แต่กลุ่มที่ใช้กระเจี๊ยบในการรักษากลับพบว่ามีการลดลงของโปรตีนในปัสสาวะและกรดยูริก

ตับ ในปี 2011 มีการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ซาอุดิ ในหัวข้อความสามารถของกระเจี๊ยบเขียวในการป้องกันโรคไต การเจี๊ยบเขียวถูกพบว่าสามารถป้องกันการต่อต้านปฏิกิริยาทางเคมีที่มีส่วนในการทำลายไตได้ เพราะการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ

โรคเบาหวาน ตามการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสารเภสัชศาสตร์และชีววิทยากล่าวว่า สารที่สกัดจากกระเจี๊ยบสามารถป้องกันร่างกายต่อต้านโรคเบาหวานได้ มีหนูที่เป็นโรคเบาหวานได้รับการรักษาโดยกระเจี๊ยบไป และการวิจัยพบว่าระดับน้ำตาลในเลือดของหนูลดลง และระดับโครงร่างไขมันก็อยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่เดิมพบว่าเคยมีการนำมากระเจี๊ยบรักษาโรคเบาหวาน

โรคมะเร็ง ยังมีอีกหนึ่งการศึกษาที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการต่อสู้กับโรคมะเร็งของกระเจี๊ยบ นักวิจัยได้ค้นพบสารเลคติน (โปรตีนชนิดหนึ่งที่ยึดติดกับเยื่อหุ้มเซลล์) ที่เพิ่งค้นพบเมื่อไม่นานในกระเจี๊ยบ Abelmoschus esculentus (AEL) ตามจริงแล้วตัวการที่ทำให้เซลล์ที่อยู่ในมะเร็งเต้านมของมนุษย์ตาย ในหลอดทดลองคิดเป็น 72% แต่อย่างไรก็ตามการทดลองนี้ก็เป็นเพียงการทดลองขั้นต้นเท่านั้น

ความซึมเศร้า ‍กระเจียบมีสารฟีนอล (phenol) สูง และสารฟลาโวนอยด์ (flavonoid) อีกด้วย สิ่งนี้อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้กระเจี๊ยบช่วยต่อสู้กับภาวะซึมเศร้า นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์การแพทย์มาซานดารันตัดสินใจที่จะทดสอบผลกระทบต่ออารมณ์ ผลการทดสอบแสดงให้เห็นว่าสารสกัดจากเม็ดกระเจี๊ยบมีความสามารถในการยกระดับทางอารมณ์ ในบางครั้งก็ทำหน้าที่เป็นเพียงยาแก้โรคซึมเศร้าทั่วไป

ด้วยประโยชน์ต่อสุขภาพทั้งหมดที่เป็นไปได้นี้ คุณจะต้องบ้าแน่ๆ ที่ไม่ให้โอกาสกระเจี๊ยบเขียว และมันจะต้องดีมากแน่นอนที่จะเลือกกระเจี๊ยบเขียวให้กับคนในครอบครัวของคุณทานให้เร็วที่สุด

ข้อมูลและภาพจาก akerufeed และ liekr
Advertisements

หมั่นตรวจเช็คร่างกายบ่อยๆ นี่คือ 7 สัญญาณเตือนของโรคมะเร็งปากมดลูกที่ไม่ควรละเลย


หมั่นตรวจเช็คร่างกายบ่อยๆ นี่คือ 7 สัญญาณเตือนของโรคมะเร็งปากมดลูกที่ไม่ควรละเลย
Advertisements

หนึ่งในชนิดของมะเร็งที่น่ากลัวคือมะเร็งปากมดลูก มีอัตราสูงมากในการตรวจพบสำหรับมะเร็งชนิดนี้ สาเหตุของการเกิดมาจากการติดเชื้อเอชพีวีจากมนุษย์ เชื้อจะแพร่กระจายได้อย่างง่ายดายโดยการติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และมันยังมีมากกว่า 100 ชนิด บางชนิดนำไปสู่การเป็นมะเร็งปากมดลูก หากระบบภูมิคุ้มกันของคุณมีความแข็งแรงพอการติดเชื้อ HPV นี้จะหายไป แต่ถ้าภูมิคุ้มกันของคุณต่ำมันอาจก่อให้เกิดการเจริญเติบโตของเซลล์ที่ผิดปกติซึ่งส่งผลให้เป็นมะเร็งปากมดลูกได้

นี่คือ7 สัญญาณของโรคมะเร็งปากมดลูก หากสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับคุณๆ ต้องไปรีบไปพบนรีแพทย์ทันที

1.มีน้ำหลั่งออกมาผิดปกติ อาการที่พบบ่อยของโรคมะเร็งชนิดนี้ เมื่อมะเร็งเริ่มเจริญเติบโตภายในปากมดลูกเซลล์เยื่อบุมดลูกจะเริ่มปล่อยน้ำออกมา

2.ก้อนเล็กๆที่ขึ้นบริเวณผิวหนัง(หูด/ไฝ) หากมีหูดหรือไฝเล็กๆขึ้นบริเวณผิวหนังภายนอกหรือภายในร่างกาย เป็นสัญลักษณ์ของการติดเชื้อHPV และมันจะขยายใหญ่ขึ้นซึ่งมีโอกาสอย่างมากที่จะเป็นมะเร็งปากมดลูก

3.มีอาการเจ็บปวดหรือมีเลือดออก หากคุณรู้สึกเจ็บและมีเลือดออกบริเวณอุ้งเชิงกราน อาการเหล่านี้เป็นสัญญาณของมะเร็งปากมดลูก เนื่องจากผนังของปากมดลูกแห้งและแตกเพราะมีการเจริญเติบโตของเซลล์ที่ผิดปกติ อีกทั้งยังมีเลือดออกที่ทวารหนักหรือในกระเพาะปัสสาวะร่วมด้วย และโปรดจำไว้ว่าหากคุณมีเลือดออกที่ไม่ใช้ประจำเดือน คุณควรต้องพบแพทย์ทันที

4.โรคโลหิตจาง โรคนี้มักจะมาพร้อมกับมะเร็งปากมดลูกเนื่องจากมีเลือดออกมากเกินไป หากคุณรู้สึกเหนื่อยล้าและกินอาหารอยู่ตลอดเวลา รวมถึงหัวใจเต้นเร็วขึ้น

5.ปัสสาวะผิดปกติ หากรู้สึกปัสสาวะยากขึ้น นี่คือหนึ่งในสัญญาณของมะเร็งปากมดลูก เนื่องจากปากมดลูกบวมและไปกดทับกระเพาะปัสสาวะและไต จึงทำให้เป็นอุปสรรคในการปัสสาวะ

6.อาการปวดขาและด้านหลังสะโพกอย่างต่อเนื่อง เมื่อปากมดลูกบวมจะส่งผลกระทบต่อไตและกระเพาะปัสสาวะทำให้เกิดแรงดันในหลอดเลือด มันจึงไปขัดขวางการไหลเวียนของเลือดไปยังกระดูกเชิงกรานและขาและสร้างความเจ็บปวด อีกทั้งยังทำให้ข้อเท้าและเท้าบวมขึ้นอีกเช่นกัน

7.น้ำหนักลดลง น้ำหนักจะลดลงเพราะไม่เกิดความอยากอาหาร สาเหตุนี้พบมากกับการเกิดการมะเร็ง ในกรณีนี้เมื่อปากมดลูกบวมจะทำให้เกิดแรงดันในกระเพาะอาหารและนำไปสู่การสูญเสียน้ำหนัก

อาการเหล่านี้ยังสามารถเกิดขึ้นได้ด้วยเงื่อนไขอื่น ๆ แต่การเข้าพบนรีแพทย์เป็นสิ่งสำคัญมากเพื่อตรวจเช็คร่างกายก่อนที่มันจะนำไปสู่การติดเชื้อ HPV

ปัจจัยเสี่ยงที่คุณควรรู้

การสูบบุหรี่ม้วนเดียวกันกับผู้อื่น การร่วมเพศหลายคน การใช้ยาคุมฉุกเฉิน ระบบภูมิคุ้มกันต่ำ ควรตรวจเช็คภายในเป็นประจำปีละสองครั้งเพื่อตรวจหามะเร็งชนิดนี้
Advertisements

วันพฤหัสบดีที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2560

ขมิ้นชัน เครื่องเทศต้านมะเร็งจากก้นครัว


ขมิ้นชัน เครื่องเทศต้านมะเร็งจากก้นครัว

Advertisements

ในบรรดาเครื่องเทศที่เรานำมาใช้ทำกับข้าวกันนั้น เชื่อว่าทุกคนต่างทราบดีอยู่แล้วว่าย่อมมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างแน่นอน ทั้งช่วยบำรุงรักษาสุขภาพและป้องกันโรคภัยต่างๆ โดยเฉพาะโรคร้ายอย่างโรคมะเร็งที่คร่าชีวิตมนุษย์ไปจำนวนไม่น้อย แต่มีเครื่องเทศชนิดหนึ่งที่พบว่าสามารถต้านเซลล์มะเร็งได้ชะงัดนัก

ขมิ้นชันเป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งที่จัดอยู่ในพืชตระกูล “หัว” มีสีเหลืองและมีกลิ่นหอม ซึ่งในเหง้าขมิ้นชันจะมีสารสำคัญที่จัดได้ 2 กลุ่มคือ กลุ่มน้ำมันหอมระเหยและกลุ่มสารสีเหลืองส้มที่มีขื่อว่า “เคอร์คูมินอยด์” ซึ่งออกฤทธิ์ช่วยเสริมกัน โดยสารกลุ่มเคอร์คูมินอยด์นี้จะมีสารหลัก 3 ชนิด ได้แก่

- Curcumin

- Demethoxycurcumin

- Bisdemethoxy curcumin

มีการศึกษาวิจัยการออกฤทธิ์ของสารกลุ่มเคอร์คูมินอยด์แล้วพบว่า มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดี ออกฤทธิ์ในการต้านอักเสบ บำรุงตับ ลดระดับคอเลสเตอรอล และบรรเทาโรคต่างๆ

นอกจากนี้ยังช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็งได้หลายชนิด โดยใช้เสริมกับยาต้านมะเร็งเพื่อช่วยกันทำลายเซลล์มะเร็งได้เป็นอย่างดี เนื่องจากมีกลไกที่ช่วยป้องกันมะเร็ง โดยมีเอนไซม์ออกฤทธิ์ที่ระยะหนึ่งและสอง (Phase I and II carcinogen – metabolizing enzymes) ในการก่อมะเร็งของสารเหนี่ยวนำมะเร็ง

ซึ่งสารสำคัญที่ชื่อ “เคอร์คูมินอยด์” จะออกฤทธิ์ช่วยยับยั้งและทำลายเซลล์มะเร็งในมนุษย์ได้ดังต่อไปนี้

- เซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว (T – cell Leukemia)

- เซลล์มะเร็งปอดชนิด Non small cell Carcinoma

- เซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ (Human colon adenocarcinoma)

- เซลล์มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ (Bladder cancer cell)

- เซลล์มะเร็งต่อมน้ำเหลือง (Non – Hodgkin’s lymphoma)

- เซลล์มะเร็งต่อมลูกหมากหรือรังไข่

- มะเร็งปากมดลูก

- มะเร็งตับ

ถึงแม้ว่าขมิ้นชันจะมีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพมากมายหลายประการ แต่มีข้อควรระวังในการใช้ด้วยเช่นกัน กล่าวคือไม่ควรใช้ในสตรีที่กำลังมีครรภ์หรือให้นมบุตร รวมถึงผู้ที่มีปัญหาท่อน้ำดีอุดตันและผู้ป่วยที่กำลังรับประทานยาละลายลิ่มเลือด ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดอันตรายได้นั่นเองค่ะ

เรียบเรียงโดย: แชร์กันไป
Advertisements

เรื่องจริง 10 ข้อ ของหน้าอกที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน

 เรื่องจริง 10 ข้อ ของหน้าอกที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน

Advertisements

ทั้งชายและหญิงต่างมีหน้าอกเป็นของตัวเองรวมถึงหัวนมที่เป็นสิ่งคู่กัน จุดประสงค์หลักของหน้าอกและหัวนมของผู้หญิงมีไว้ให้น้ำนมแก่ทารกแตกต่างจากฝ่ายชายที่ไม่ได้มีหน้าที่นี้ เพียงแต่วันนี้เราจะมาบอกถึงสิ่งที่คุณอาจไม่เคยทราบมาก่อนเกี่ยวกับหน้าอกและหัวนมของคุณ

1 เราสามารถมีหัวนมมากกว่า 2 มันอาจจะไปเกิดตรงจุดไหนของร่างกายก็ได้ที่ไม่ใช่หน้าอกการเติบโตของเยื่อจะไม่สมบูรณ์เหมือนหน้าอกนั่นเอง ซึ่งหากมันเกิดขึ้นไม่จำเป็นต้องกำจัดออก

2 มีขนบริเวณรอบหัวนมเป็นเรื่องปกติ โดยปกติผู้หญิงจะไม่มีหากใครมีอาจเป็นเพราะความแปรปรวนของฮอร์โมนที่อาจมาพร้อมความเป็นวัยรุ่น ตั้งครรภ์ หรือหมดประจำเดือน ส่วนใครมีมากจนผิดปกติควรปรึกษาแพทย์เพราะอาจจะเชื่อมถึงความผิดปกติของรังไข่ได้ แต่ผู้ชายจะมีเป็นปกติ

3 มนุษย์เท่านั้นที่มีหน้าอกใหญ่ถาวร ที่เหลือนั้นมีเพื่อเลี้ยงลูกเท่านั้น มนุษย์ผู้หญิงนั้นไม่ได้มีเพื่อตั้งครรภ์หรือเลี้ยงลูกเท่านั้น เป็นความสามารถในการเก็บไขมันและความอุดมสมบูรณ์ ซึ่งหน้าอกจะขยายเต็มที่ก็ตอนวัยรุ่น หน้าอกหญิงสาวมีไว้ให้น้ำนมหลังจากนั้นเป็นเพียงไขมัน

4 มีของเหลวไหลออกจากหัวนมทั้งๆที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ อาจจะมีสีใส ขุ่น หรือ ขาว อาจจะเหนียวหรือเป็นน้ำ เกิดจากการที่หน้าอกถูกกดทับหรือถูกบีบอย่างแรงเท่านั้นโดยชุดชั้นในหรือสปอร์ตบาร์ขณะออกกำลังกาย แต่หากเป็นเลือดออกมาควรปรึกษาแพทย์ทันที

5 หัวนม 2 ข้างไม่เท่ากัน เป็นเรื่องปกติหากลองสังเกตข้างซ้ายมักใหญ่กว่าข้างขวา

6 การทำศัลยกรรมหน้าอกลดการตอบสนองของหัวนม

7 หน้าอกจะเปลี่ยนแปลงเสมอในขณะเป็นประจำเดือน หรือตั้งครรภ์

8 หัวนมแข็งไม่ได้เกิดจากอารมณ์ทางเพศเสมอไป อาจมาจากสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงกะทันหัน ช็อค ให้น้ำนมลูก หรือการที่เสื้อผ้าสีกับหน้าอกเป็นเรื่องปกติ

9 หัวนมบอด 10-20 เปอร์เซ็นของผู้หญิงเป็นตั้งแต่เกิด สาเหตุจากกล้ามเนื้อท่อบริเวณหัวนมสั้น การให้นมก็อาจทำให้เป็นอาการนี้ได้เช่นกัน หรือจากเป็นโรค ความย่อนคล้อยแม้กระทั่งการตั้งครรภ์ก็สามารถเกิดได้และควรระวังการติดเชื้อบริเวณหัวนม

10 หัวนมของทุกคนพัฒนามาตั้งแต่ในครรภ์ เด็กผู้ชายจะถูกฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนหยุดการเจริญเติบโตของหน้าอก ซึ่งกระบวนเหล่านี้มาจากร่างกายระบุเพศ

ที่มา: Thaiza
Advertisements

10 สิ่งเหลือเชื่อที่สัตว์เลี้ยงแสนรักรับรู้ได้จากตัวคุณ


10 สิ่งเหลือเชื่อที่สัตว์เลี้ยงแสนรักรับรู้ได้จากตัวคุณ

Advertisements

สุนัข มีสัญชาตญาณที่รับรู้ได้ถึงอารมณ์ของมนุษย์จีงทำให้มันกลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อเจ้าของ ไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดมันก็สามารถสัมผัสความตื่นเต้น ความสุข ความเศร้าและความเครียดได้ มันจึงมีส่วนในการช่วยรักษาปัญหาทางอารมณ์ของมนุษย์ 10 สิ่งที่สุนัขสามารถรับรู้ได้จากคนมีดังนี้

1 ความเศร้า เจ้าเพื่อนสี่ขารับรู้ความผิดปกติทางอารมณ์ของเราได้แม้จะพยายามทำเป็นไม่เศร้าก็ตาม นั้นจะทำให้มันเศร้าตามไปด้วย ขณะร้องไห้มันก็จะเข้ามาเลียหน้าคุณ

2 มะเร็งหรือโรคอื่นๆ มันสามารถรับรู้ถึงโรคภัยในร่างกายเจ้าของของมันจากการดมกลิ่น

3 ตั้งครรภ์ ขณะตั้งครรภ์สุนัขของคุณจะคอยเฝ้าคุณไม่ห่าง ทำตัวน่ารักและคอยปกป้องคุณ มันอาจจะชอบเข้ามาดมหรือนอนบนท้องของคุณ ในช่วงเวลานี้คุณไม่ควรปล่อยละเลยสัตว์เลี้ยงของคุณด้วยเช่นกัน

4 แผ่นดินไหว มันรับรู้ความผิดปกติของธรรมชาติจากการได้ยินเสียงหินเคลื่อนไหวใต้พื้นดินซึ่งมักเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนแผ่นดินไหว

5 พายุ หากมันมีพฤติกรรมวิ่งหอบไปมา หรือแสดงความไม่สบายใจแม้สภาพแวดล้อมเป็นปกติก็ตาม เนื่องจากมันสัมผัสถึงความกดอากาศที่ต่ำลงอย่างรวดเร็วและไฟฟ้าสถิตย์มักเกิดขึ้นก่อนอากาศเปลี่ยนแปลง

6 น้ำตาลในเลือดต่ำ ผู้ใดที่เป็นโรคเบาหวานจะมีกลิ่นเฉพาะที่สุนัขของคุณสัมผัสได้ กรณีน้ำตาลในเลือดต่ำบางครั้งเจ้าตูบจะหอนหรือเลียมือของคุณ

7 ความเกลียดชังระหว่างมนุษย์ มันสามารถรู้ได้ว่าคุณไม่ชอบใคร ขณะมีอารมณ์โกรธหรือเกลียดชังร่างกายของเราจะปล่อยสารเคมีหลายประเภทที่ทำให้สุนัขรับรู้ได้รวมถึงท่าทางของคุณด้วย

8 ความเผื่อแผ่ การกระทำของคุณส่งผลต่อจิตใจ หากเจ้าของเป็นอย่างไรสุนัขก็จะมีนิสัยคล้ายกัน หากคุณชอบดูแลมีน้ำใจ สุนัขของคุณเมื่อเจอผู้อื่นหรือสัตว์ตัวอื่นมันก็จะไม่ก้าวร้าว

9 ความกลัวและความเครียด มันรับรู้ได้ทันทีทันใดถึงคุณจะไม่ได้แสดงออกมา มันจะรีบเข้ามาอ้อนคุณและพยายามช่วยเหลือ 10 ความมุ่งมั่นตั้งใจ มันอ่านคุณออกและสามารถรับรู้ถึงความมุ่งมั่นของคุณ เช่น วันใดที่คุณจะพามันไปพบสัตวแพทย์หรือการโดนฉีดยามันรู้ได้ทันทีและจะหาทางแอบคุณ หรือหากคุณทำอะไรที่เป็นกิจวัตรประจำวันแปลกไปมันก็สัมผัสได้เช่นกัน
Advertisements

ที่มา: Thaiza

อาการมือสั่นเกิดจากอะไรและจะแก้ไขได้อย่างไร..ใครเคยเป็นลองอ่านดู


อาการมือสั่นเกิดจากอะไรและจะแก้ไขได้อย่างไร..ใครเคยเป็นลองอ่านดู

Advertisements


อาการมือสั่นเป็นปัญหาทั่วไปของผู้ใหญ่สาเหตุเกิดจากการหยุดชะงักในการทำงานของสมองซึ่งมีแนวโน้มมาจากครอบครัว และสาเหตุอื่นเช่น

- เงื่อนไขทางการแพทย์ เช่น ต่อมไทรอยด์ทำงานหนักผิดปกติและโรคฮันติงตัน

- ผลข้างเคียงจากยา โดยเฉพาะยาที่รักษาโรคหอบหืด โรคซึมเศร้า หรือการหยุดยาบางชนิด

- ดื่มคาเฟอีนมากเกินไป ส่งผลต่อระบบประสาท

- น้ำตาลในเลือดต่ำ เนื่องจากเส้นประสาทและกล้ามเนื้อขาดการหล่อเลี้ยงนอกเหนือจากนั้นอาจเกิดจากการออกกำลังกายมากเกินไป

- เลิกแอลกอฮอล์ ร่างกายสั่นเพราะความต้องการ

- วิตกและเครียดเกินไป

แม้อาการมือสั่นจะไม่ได้คุกคามถึงชีวิตแต่จะส่งผลให้การใช้ชีวิตประจำวันยากขึ้นเช่น การถือของ ถือแก้วน้ำ การกิน หรือกระทั่งการเขียน นอกเหนือจากสาเหตุต่างๆด้านบนอาการมือสั่นกำลังเป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้าว่าระบบประสาทของคุณอาจกำลังเสื่อมถอยลง และนี่เป็นหนทางเบื้องต้นที่จะลดอาการมือสั่นได้

1 ควบคุมระดับความเครียด ด้วยการกำหนดลมหายใจเข้า-ออก เป็นเวลา 10 นาที

2 ดื่มชาคาโมมายหรือน้ำมันคาโมมาย ดื่มชา 2-3 แก้วต่อวัน หรือหยดน้ำมันคาโมมายขณะอาบน้ำ หากใครทานยาเบาหวานควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้วิธีนี้

3 ออกกำลังมือ โดยหาลูกบอลพอดีมือบีบ-คลาย โดยค้างแต่ละท่าไว้ 5 วิแล้วค่อยๆปล่อยทำไป 10 ครั้งทุกๆวัน

4 โอเมก้า 3 รับประทานอาหารที่มีโอเมก้า3 จะช่วยเรื่องระบบประสาทรวมถึงน้ำมันตับปลา หากใครทานมังสะวิรัติให้ทานเมล็ดแฟลกซ์ เมล็ดฟักทอง และวอลนัท

5 หลีกเลี่ยงการดื่มคาเฟอีนและแอลกอฮอล์

ที่มา: Thaiza
Advertisements

เคล็ดลับที่ไม่เคยรู้มาก่อน เผาใบกระวานลดความเครียดได้

เคล็ดลับที่ไม่เคยรู้มาก่อน เผาใบกระวานลดความเครียดได้

ในแต่ละวันของคนเรามักมีความเครียดสะสมจากความรับผิดชอบหลายๆอย่างในชีวิตประจำวัน เรากำจัดปัญหานั้นทำได้ด้วยวิธีง่ายๆแม้จะเป็นวิธีที่ไม่คาดคิดมาก่อนก็ตาม เพียง 5 นาทีจะช่วยปรับระดับความเครียดให้ลดน้อยลง
Advertisements

ใบกระวาน มีถิ่นกำเนิดทางภูมิภาคเมดิเตอร์เรเนียนเป็นสมุนไพรราคาไม่แพงที่พบได้ง่าย มักถูกนำมาใช้ทำน้ำมันหอมระเหยซึ่งถูกค้นพบโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซีย เจนดาดี้ มาลาโคฟ เป็นผู้ที่พบประโยชน์ของใบกระวาน ซึ่งคุณสมบัติของมันนั้นช่วยผ่อนคลายและบรรเทาความตึงเครียด เชฟหลายคนที่นำมันมาประกอบอาหารอาจไม่รู้สรรพคุณของมันด้วยซ้ำว่ายังสามารถต่อสู้กับความเครียดเรื้อรังในระยะยาวได้

วิธีการคือเพียงคุณนำใบกระวาน (สดหรือแห้ง) มาเผาในที่เขี่ยบุหรี่หรือจุดที่ปลอดภัย จากนั้นทิ้งไว้ 10 นาที คุณจะรู้สึกถึงบรรยากาศในห้องที่เปลี่ยนไป พร้อมความรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น หรืออาจจะทำสปาในห้องน้ำไปด้วยสูดกลิ่นควันจากใบกระวาน จะช่วยบำรุงร่างกายและจิตใจของคุณ

ที่มา: Thaiza
Advertisements

นี่คือผลเสียจากการนอนหลับไม่เพียงพอ

 นี่คือผลเสียจากการนอนหลับไม่เพียงพอ

เวลาผ่านไปคนเรามีอายุเพิ่มขึ้นตามเราจึงควรใช้เวลาในแต่ละวันให้เต็มที่และสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือการนอน การนอนถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับการทำงานของร่างกายและจิตใจ
Advertisements


ประชากรมากกว่าหนึ่งในสามไม่ได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพเป็นอย่างมากจะทำให้ร่างกายอ่อนล้าและเหนื่อยอยู่ตลอดเวลาซึ่งส่วนใหญ่อาการเมื่อยล้าเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของชาวตะวันตก ชาวอเมริกา 50-70 ล้านคนได้รับผลกระทบโดยมีความผิดปกติจากการนอนหลับเรื้อรังส่งผลให้เกิดความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ เส้นเลือดในสมอง ซึมเศร้า โรคเบาหวานและอาการเรื้อรังอื่นๆตามมา

การนอนหลับผิดปกตินั้นส่งผลเสียแก่การทำงานในแต่ละวัน พฤติกรรมรวมถึงความสัมพันธ์ในชีวิตอีกด้วย นอกจากนั้นกว่า 1500 รายมีอาการหลับในขณะขับรถ และเป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุรถชน 100,000 ครั้งต่อปี การอดนอนเป็นปัญหาร้ายแรงในสหรัฐอเมริกาที่ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

จึงเกิดคำถามว่าเราควรนอนกี่ชั่วโมงถึงจะเพียงพอ

คำตอบของแต่ละคนต่างกันออกไปบางคนนอนเพียง 4 ชั่วโมงตอนกลางคืนและยังสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติตลอดวัน ในความเป็นจริงไม่ควรต่ำกว่า 6 ชั่วโมงต่อวันและต้องมีอาการหลับสนิท ตลอดเวลา 24 ชั่วโมงต่อวันหากในระหว่างวันมีการนอนหลับในระยะสั้น 30 นาที ก็ถือว่าเป็นการนอนหลับเช่นกัน
Advertisements


อาการส่วนใหญ่ของคนที่นอนหลับไม่เพียงพอ

- ระหว่างวันจะมีอาการอ่อนล้า

- น้ำหนักเพิ่ม

- คาเฟอีนเป็นสิ่งจำเป็น

- หลับในขณะขับรถ

ควรแก้ไขอย่างไร

- จัดตารางชีวิตตัวเอง

- ฝึกการนอนให้อยู่ในช่วงเวลาเดิมเป็นประจำ

- ออกกำลังกายทุกวัน

- มีเตียงที่เหมาะสมแก่การนอนหลับอย่างสบาย

- ปิดโทรทัศน์

- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และคาเฟอีนก่อนนอน

ที่มา: Thaiza

วันพุธที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2560

6 ปัจจัยเสี่ยงและสัญญาณเตือน “โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่”


6 ปัจจัยเสี่ยงและสัญญาณเตือน “โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่”

เมื่อพูดถึงโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ที่สามารถคร่าชีวิตของผู้คนได้ ส่วนใหญ่ต่างก็นึกถึงโรคมะเร็งเป็นอันดับต้นๆ ซึ่งจากสถิติเมื่อปีพ.ศ.2538 พบว่ามีผู้ป่วยเป็นโรคมะเร็งมากถึงอันดับ 3 ในเพศหญิง และอันดับ 2 ในเพศชาย รวมถึงมีการตรวจพบโรคมะเร็งลำไส้ในระยะที่ 4 หรือระยะแพร่กระจายมากเป็นอันดับ 1 อีกด้วย
Advertisements

ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่

โรคมะเร็งแต่ละชนิดจะมีความเสี่ยงที่แตกต่างกันออกไป สำหรับโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่จะมีปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ดังต่อไปนี้

1 อาหาร การรับประทานเนื้อสัตว์ที่มีสีแดงเป็นประจำ รวมถึงอาหารแปรรูปที่ผ่านกรรมวิธีและอาหารทอด ปิ้ง หรือย่าง อาหารที่มีรสเค็ม อาหารหมักดอง และรับประทานผักผลไม้น้อย

2 ออกกำลังกาย ผู้ที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายจะมีโอกาสเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่มากขึ้น

3 โรคอ้วน ผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกินเกณฑ์มาตรฐานจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคมะเร็งเต้านม และโรคมะเร็งรังไข่

4 อายุ สามารถเกิดขึ้นได้ตั้งแต่วัยเด็ก แต่จะมีความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้นเมื่อมีอายุมากกว่า 50 ปี

5 ประวัติการเจ็บป่วย ผู้ที่มีประวัติ Polyps หรือเป็นโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง และคนที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่หรือ Polyps

6 โรคเบาหวานชนิดที่ 2 จะมีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่สูง เนื่องจากมักจะมีภาวะน้ำหนักตัวเกินนั่นเอง
Advertisements

อาการเตือนควรระวังเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่

1 รู้สึกเหมือนปวดท้องอุจจาระ แต่เวลาถ่ายกลับไม่มีอุจจาระออกมา หรือถ่ายออกมาไม่หมด

2 ปวดท้องเป็นพักๆ หรือปวดๆ หายๆ

3 มีอาการท้องอืดหรือท้องแน่นตลอดเวลา

4 มีอาการท้องเสียสลับกับท้องผูก จึงทำให้ก้อนอุจจาระแข็งและเหลวสลับกัน รวมถึงอาจจะมีอาการถ่ายอุจจาระที่มีมูกเลือดปน

5 ขนาดอุจจาระเล็กกว่าปกติ

6 มีอาการคลื่นไส้และอาเจียน

ซึ่งเราจะสามารถสังเกตเห็นได้ว่า ส่วนใหญ่อาการเริ่มต้นจะมาจากอุจจาระทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นหากเริ่มมีอาการเหล่านี้ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน เพื่อการวินิจฉัยโรคที่ถูกต้องและมีโอกาสหายได้มากขึ้นด้วยค่ะ

เรียบเรียงโดย: แชร์กันไป

มารู้จักกับอาการหนาวในและวิธีป้องกัน ตามหลักแพทย์แผนไทย


มารู้จักกับอาการหนาวในและวิธีป้องกัน ตามหลักแพทย์แผนไทย

“อาการหนาวใน” เป็นอาการทางร่างกายอย่างหนึ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้กับผู้หญิงทุกวัย โดยเฉพาะผู้หญิงที่ไม่ได้อยู่ไฟหลังคลอดนั้น ซึ่งมีการบันทึกในตำราแพทย์แผนไทยไว้ว่า การคลอดลูกทำให้ผู้หญิงสูญเสียความร้อนภายในร่างกาย เปรียบเสมือนธาตุไฟที่ทำให้เสียความสมดุล และยังสามารถเกิดขึ้นกับสตรีที่มีประจำเดือนผิดปกติหรืออยู่ในวัยกำลังจะหมดประจำเดือนและหมดประจำเดือนแล้ว

อาการเบื้องต้นของ “อาการหนาวใน”

1 รู้สึกหนาวแม้เพียงฝนเริ่มตั้งเค้า มีอาการหนาวสะท้าน

2 มือเขียว ปากเขียว มือและเท้าเย็นจัด ราวกับระบบไหลเวียนโลหิตทำงานได้ไม่ดี

3 มีอาการปวดหลังชาๆ ข้อสะโพกขัด และมีจ้ำเขียวบนผิวหนังตามร่างกาย

4 มีอาการปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อและเป็นตะคริวได้ง่าย

5 เป็นไข้ทับระดูทุกครั้งที่มีประจำเดือน

6 อาจจะมีอาการปวดหน่วงๆ บริเวณท้องน้อย และมีความเสี่ยงต่อการเกิดมดลูกอักเสบ

ขั้นตอนการรักษาตามหลักแพทย์แผนไทย

การรักษาด้วยตามหลักแพทย์แผนไทยนี้ จะขึ้นอยู่กับอาการของแต่ละคนว่าควรใช้ขั้นตอนใดบ้าง ดังต่อไปนี้

ขั้นแรก คือ การปลูกไฟธาตุ เป็นการใช้ยาร้อนในการปลูกธาตุไฟให้ทำงาน และเป็นการปรับสมดุลธาตุในร่างกาย

ขั้นที่สอง คือ การบำรุงไฟธาตุ เป็นการใช้ยารสเปรี้ยวเน้นการบำรุงเลือดและฟอกเลือดให้ร่างกายแข็งแรงมากขึ้น

ขั้นที่สาม คือ การใช้ยาร้อนที่สุด เป็นการใช้ยาร้อนที่เรียกว่า “เจตมูตเพลิง” หรือ “ว่านชักมดลูก” เพื่อขับโลหิตและของเสียออกจากร่างกาย จะช่วยให้เราขับประจำเดือนออกจากร่างกายจนหมดและไม่มีตกค้าง สามารถช่วยป้องกันการเกิดช็อกโกแลตซีสต์ได้อีกทางหนึ่ง

ผู้หญิงทุกคนล้วนแต่มีความเสี่ยงต่อการเกิดก้อนในช่องท้อง หรือที่เรียกกันว่ากลุ่มมดลูกอักเสบและกลุ่มอาการช็อกโกแลตซีสต์ แต่ในทางแพทย์แผนไทยสามารถช่วยป้องกันได้ โดยรับประทานยาสตรีทุกครั้งก่อนมีประจำเดือน จะช่วยขับของเสียและประจำเดือน ทำให้ไม่มีตกค้างสะสมในที่สุด

เรียบเรียงโดย: แชร์กันไป

5 โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อันตรายที่ควรระวัง


5 โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อันตรายที่ควรระวัง

ปัจจุบันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์นั้นมีผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นในทุกปี ซึ่งจากสรุปรายงานการเฝ้าระวังทางระบาดวิทยา ประจำปีพ.ศ.2557 ของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่าไม่ได้มีแค่เพียงโรคเอดส์เท่านั้น แต่ยังมีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่สำคัญและควรระมัดระวังหรือป้องกันอีก 5 โรค ได้แก่

1 แผลริมอ่อน จะมีลักษณะเป็นตุ่มนูนและมีอาการเจ็บบริเวณเส้นสองสลึง จากนั้นจะมีแผลเล็กๆ โดยก้นแผลมีหนอง ขอบแผลจะไม่เรียบ แต่นูนขึ้นและไม่แข็ง ซึ่งทำให้ผู้ชายที่เป็นโรคนี้รู้สึกเจ็บมาก ส่วนผู้หญิงอาจจะไม่ค่อยเจ็บเท่าไร รวมถึงมีอาการต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโต เมื่อกดแล้วจะเจ็บ สามารถติดต่อสู่ผู้อื่นได้ง่าย

2 หนองใน เมื่อปัสสาวะจะมีอาการปวดแสบปวดร้อน เนื่องจากเกิดอาการระคายเคืองที่ท่อปัสสาวะ และมีหนองสีเหลืองไหลออกมาจากท่อปัสสาวะอีกด้วย สำหรับผู้หญิงอาจจะมีอาการตกขาวหรือเลือดออกผิดปกติ

3 หนองในเทียม เกิดจากการอักเสบของท่อปัสสาวะที่ติดเชื้อโรคโดยไม่ใช่หนองในแท้ โดยจะมีอาการปวดแสบปวดร้อนเมื่อปัสสาวะ และมีหนองไหลออกมาจากอวัยวะเพศ สำหรับผู้ชายอาจจะมีอาการปวดหน่วงๆ ที่อวัยวะเพศและลูกอัณฑะอักเสบ ส่วนผู้หญิงจะมีอาการปัสสาวะขัด ปวดท้องน้อย มีตกขาว และอาจจะมีเลือดออกขณะมีเพศสัมพันธ์

4 ซิฟิลิส มีลักษณะเป็นตุ่มแดงแตกออกเป็นแผลที่ปากอวัยวะเพศ หรือบริเวณอัณฑะ ทวารหนัก และริมฝีปาก โดยสามารถหายได้เองภายใน 1 – 5 สัปดาห์ แต่เชื้อยังคงอยู่ในกระแสเลือด ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้จะเป็นอันตรายมากขึ้นต่ออวัยวะภายในต่างๆ

5 ฝีมะม่วง จะมีอาการต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโต เป็นแผลที่อวัยวะเพศและมีหนองไหลออกมา ท่อปัสสาวะอักเสบ เมื่อปวดเบ่งอุจจาระอาจจะมีเลือดและหนองไหลออกมาจากรูทวาร

สิ่งที่น่าตกใจมากคือ ผู้ป่วยโรคเหล่านี้ส่วนใหญ่มีอายุเพียง 10 – 24 เท่านั้น เพราะฉะนั้นควรใช้ถุงยางอนามัยก่อนมีเพศสัมพันธ์ทุกครั้ง และยังช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรอีกด้วยค่ะ

เรียบเรียงโดย: แชร์กันไป

9 เคล็ดลับ รับประทานอาหารอย่างไรให้ห่างไกลโรคมะเร็ง


9 เคล็ดลับ รับประทานอาหารอย่างไรให้ห่างไกลโรคมะเร็ง

โรคมะเร็งเป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของเซลล์ภายในร่างกาย โดยส่งผลให้เกิดการเจริญเติบโตด้วยการแบ่งเซลล์เพิ่มขึ้นรวดเร็วอย่างผิดปกติ และยังขึ้นชื่อว่าเป็นโรคร้ายที่คร่าชีวิตมนุษย์เป็นอันดับต้นๆ อันเนื่องมาจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ และพฤติกรรมการใช้ชีวิตในแต่ละวัน

มีการศึกษาวิจัยพบว่า อาหารที่เรารับประทานเข้าไปนั้นมีส่วนสัมพันธ์ต่อการเกิดโรคมะเร็งมากถึง 30 – 50% โดยเฉพาะอาหารปิ้งย่างที่มีส่วนไหม้เกรียม อาหารที่เค็มจัด อาหารที่มีไขมันสูง อาหารที่มีราสีเหลืองและสีเขียว และการถนอมอาหารด้วยเกลือ เป็นต้น

ดังนั้นเราจึงควรพิถีพิถันในการเลือกรับประทานอาหารมากขึ้น เพราะจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งได้ และยังทำให้สุขภาพแข็งแรงมากขึ้น ด้วยอาหารต้านมะเร็ง 9 ชนิด ดังนี้

1 ผัก 5 สี ผักเหล่านี้อุดมไปด้วยสารไฟโตนิวเทรียนท์ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งได้ เช่น มะเขือเทศ แครอท คะน้า บล็อกโคลี่ และกะหล่ำสีม่วง เป็นต้น

2 ผลไม้ มีวิตามินและแร่ธาตุหลากหลายชนิดที่จำเป็นต่อร่างกาย

3 ธัญพืช ควรรับประทานธัญพืชชนิดเต็มเมล็ดที่ผ่านการขัดสีน้อยที่สุด จึงจะมีคุณค่าทางโภชนาการสูง

4 เครื่องเทศ นอกจากจะช่วยเสริมรสชาติให้อาหารอร่อยยิ่งขึ้นแล้ว ยังมีสรรพคุณช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันและช่วยความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง

5 ปรุงอาหารอย่างถูกวิธี ไม่ใช้น้ำมันทอดซ้ำหลายๆ ครั้ง หลีกเลี่ยงอาหารที่ไหม้เกรียมหรืออาหารสุกๆ ดิบๆ

6 ดื่มน้ำเพื่อสุขภาพ เป็นการเพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระให้กับร่างกาย เช่น ชาเขียว น้ำขิง และน้ำแครอท เป็นต้น

7 ลดการบริโภคเนื้อแดง ควรรับประทานเนื้อแดงสัปดาห์ละไม่เกิน 500 กรัม

8 ลดการใช้เกลือ ในแต่ละวันควรบริโภคเกลือไม่เกิน 6 กรัม

9 หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง หมายถึงไขมันอิ่มตัวอย่างเช่นกะทิและไขมันที่ได้จากสัตว์

เมื่อเรารับประทานอาหารตามหลักดังนี้เป็นประจำ ก็จะทำให้เรามีสุขภาพที่แข็งแรงและห่างไกลจากโรคมะเร็งได้ค่ะ

เรียบเรียงโดย: แชร์กันไป