วันจันทร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ลองใช้ส่วนผสมนี้เพียง 3 คืนจะช่วยกำจัดจุดต่างๆ บนใบหน้า และทำให้ผิวหน้าของคุณสวยงามเปล่งปลั่งจนน่าตะลึง


ลองใช้ส่วนผสมนี้เพียง 3 คืนจะช่วยกำจัดจุดต่างๆ บนใบหน้า และทำให้ผิวหน้าของคุณสวยงามเปล่งปลั่งจนน่าตะลึง

มีผลิตภัณฑ์มากมายที่การันตีว่าช่วยลบเลือนจุดด่างดำบนใบหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่คุณรู้ไหมว่ามีสารเคมีอยู่ในผลิตภัณฑ์เหล่านั้นที่ก่อความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อผิวหน้าของคุณ

ด้วยเหตุนี้เราจึงอยากแนะนะมาสก์ธรรมชาติที่ทำจากมันฝรั่งที่จะช่วยกำจัดจุดต่างๆ บนใบหน้าให้กับคุณและยังช่วยทำให้ผิวหน้าของคุณสดใสเปล่งปลั่งไปพร้อมๆ กัน

สิ่งที่คุณต้องเตรียมเพื่อลบจุดด่างดำบนใบหน้าของคุณ?

สูตรที่ 1.มันฝรั่งและมะนาว

เตรียม:

มันฝรั่ง 1 ชิ้น

น้ำมะนาว ½ ลูก

ปั่นผสมมันฝรั่งแล้วเพิ่มน้ำมะนาวลงไปปั่นจนกว่าจะเป็นเนื้อเดียวกัน

จากนั้นนำส่วนผสมนี้มานวดเบาๆ เป็นวงกลมบนใบหน้าของคุณและพอกทิ้งไว้เป็นเวลา 20 นาทีและล้างหน้าให้สะอาด

สูตรที่ 2. มันฝรั่งและแตงกวา

เตรียม:

มันฝรั่ง 1 ชิ้น

แตงกวา ½ ลูก

ใส่มันฝรั่งและแตงกวาลงในเครื่องปั่นและปั่นผสมจนเป็นเนื้อเดียวกัน

จากนั้นนำส่วนผสมนี้มานวดเป็นวงกลมอย่างอ่อนโยนบนใบหน้าของคุณและพอกทิ้งไว้เป็นเวลา 25 นาทีและล้างหน้าให้สะอาด

อ้างอิง : cuisineandhealth.com แปลข้อมูลโดย : www.rak-sukapap.com

ห้ามพลาด ด้วยส่วนผสมที่น่าทึ่งนี้ จะช่วยฟื้นฟูผมเสียของคุณ แม้แต่ผมที่ผ่านการย้อมสี


ห้ามพลาด ด้วยส่วนผสมที่น่าทึ่งนี้ จะช่วยฟื้นฟูผมเสียของคุณ แม้แต่ผมที่ผ่านการย้อมสี

นี่คือสูตรหมักผมที่จะช่วยปรับปรุงทุกสภาพเส้นผมให้กลับมาสวยงามและแข็งแรงอีกครั้ง และยังช่วยลดการหลุดร่วงพร้อมช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผม

ส่วนผสมหลักของสูตรนี้คือยีสต์! สำหรับการฟื้นฟูผมเสียคุณควรใช้สัปดาห์ละ 2 ครั้ง และเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดควรดูแลด้วยวิธีนี้สัปดาห์ละ 2 ครั้งติดต่อกันเป็นเวลา 2 เดือน v สูตรหมักผมนี้ไม่เพียงมีประสิทธิภาพสูงแต่ยังช่วยให้เส้นผมแข็งแรงขึ้นอีกด้วย!

สูตรยีสต์เหมาะสำหรับเส้นผมทุกประเภทมันช่วยยับยั่งการหลุดร่วงของเส้นผมและทำให้เส้นผมกลังมางอกใหม่ได้อีกครั้งอย่างรวดเร็ว

สูตรหมักผมด้วยยีสต์ป้องกันผมร่วงและช่วยทำให้เส้นผมแข็งแรง :

คุณจะต้องเตรียม:

- น้ำอุ่น 1 ช้อนโต๊ะ

- น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา

- ยีสต์สด 7 กรัม หรือ ยีสต์แห้ง 20 กรัม

วิธีทำ:

นำน้ำผึ้ง 1 ช้อนชามาละลายในน้ำอุ่น 1 ช้อนโต๊ะ และใส่ยีสต์แห้ง 20 กรัมตามลงไปผสมทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที

ก่อนใช้ส่วนผสมนี้ให้คุณทำความสะอาดเส้นผมให้เปียกชุ่มและนำส่วนผสมมาหมักให้ทั่วเส้นผมห่อทับด้วยพลาสติกคลุมผมและใช้ผ้าขนหนูห่อทับอีกชั้น ทิ้งไว้ไม่เกิน 2 ชั่วโมง จากนั้นสระผมให้สะอาดด้วยน้ำอุ่น

ยีสต์ที่อยู่ในส่วนผสมนี้จะช่วยเพิ่มวิตามิน โปรตีน และแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของเส้นผมของคุณ สารอาหารจะถูกดูดซึมเข้าสู่รูขุมขนและช่วยฟื้นฟูเส้นผมที่ได้รับความเสียหายทั้งหมด

อ้างอิง : houseandfamilytips.com แปลข้อมูลโดย : www.rak-sukapap.com

เตือนอันตราย แบคทีเรียในช่องปาก เป็นสาเหตุของโรคร้ายถึงชีวิต


เตือนอันตราย แบคทีเรียในช่องปาก เป็นสาเหตุของโรคร้ายถึงชีวิต

เป็นที่ทราบกันมานานแล้วว่าโรคในช่องปากอย่างฟันผุและโรคเหงือก มีสาเหตุจากกลุ่มเชื้อ‘แบคทีเรียก่อโรค’ที่อาศัยอยู่ในช่องปาก ในบรรดาเชื้อก่อโรคเหล่านี้มีเชื้อที่ก่อโรคเหงือกอยู่ชนิดหนึ่งชื่อว่า “เชื้อจินจิวาริส(P. Gingivalis)”

โดยเมื่อไม่นานมานี้มีงานวิจัยทางการแพทย์ต่างๆพบว่า“เชื้อจินจิวาริส”นี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคร้ายแรงต่างๆ โดยเฉพาะ โรคที่เกี่ยวข้องกับเส้นเลือดอุดตันหรือแตก เช่น โรคหัวใจขาดเลือด, อัมพฤกษ์หรืออัมพาต เป็นต้น

เชื้อจินจิวาริสในปากทำให้เกิดโรคร้ายแรงที่เกี่ยวกับเส้นเลือดได้อย่างไร?...เชื้อจินจิวาริสที่อาศัยอยู่ตามซอกฟันจะค่อยๆเซาะไปตามเหงือก นานเข้าก็เดินทางไปถึงยังเส้นเลือดที่อยู่ลึกภายในเหงือก ในที่สุดก็แทรกเข้าไปเส้นเลือดนี้ทำให้เส้นเลือดเสียหาย เกิดเป็นเลือดซึมตามเหงือกได้

นอกจากนี้เชื้อจินจิวาริสที่อยู่ใกล้เคียงก็จะทยอยเข้าไปในเส้นเลือดนี้ ส่งผลให้เชื้อจินจิวาริสเหล่านี้เข้าไปในระบบไหลเวียนเลือดสามารถเดินทางไปได้ทั่วร่างกาย ถ้าเม็ดเลือดขาวจัดการเชื้อที่เข้ามานี้ไม่ได้หมด เกิดมีเชื้อบางตัวฝังตัวเข้าไปในผนังเส้นเลือดได้สำเร็จก็จะทำให้เส้นเลือดนั้นอักเสบจนเส้นเลือดอุดตันหรือแตกได้ ซึ่งถ้าเป็นเส้นเลือดที่อยู่ในสมองก็จะก่อโรคอัมพฤกษ์หรืออัมพาต ถ้าเป็นเส้นเลือดที่หัวใจก็จะเกิดเป็นโรคหัวใจขาดเลือดได้นั่นเอง

อะไรเป็นปัจจัยเสี่ยงที่เอื้อให้เชื้อจินจิวาริสนี้ก่อโรคร้ายแรงนี้ได้?...เชื้อจินจิวาริสยิ่งมีจำนวนมากเท่าไรโอกาสที่จะเกิดโรคร้ายก็จะยิ่งมากเท่านั้น ทั้งนี้ในปากเราเองก็มีเม็ดเลือดขาวที่คอยควบคุมเชื้อร้ายไม่ให้เพิ่มจำนวนมากขึ้น

แต่ถ้าเราไม่ค่อยได้แปรงฟันเชื้อร้ายนี้เพิ่มจำนวนมากขึ้นรวดเร็วจนเม็ดเลือดขาวต้านไม่ไหว เชื้อจินจิวาริสก็จะเซาะลงไปถึงเส้นเลือดในเหงือกสำเร็จก่อโรคร้ายแรงตามมาได้ ส่วนอาการที่บ่งชี้ถึงความเสี่ยงดังกล่าวคือ เหงือกอักเสบบ่อยๆ แปรงฟันแล้วเลือดออกง่าย

สำหรับแนวทางป้องกันภาวะเชื้อจินจิวาริสก่อโรคร้าย...ดูแลสุขภาพช่องปากให้ดี โดยการแปรงฟัน 3 เวลาหลังอาหาร ทำความสะอาดซอกฟันด้วยไหมขัดฟันเป็นประจำ และพบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพช่องปากอย่างสม่ำเสมอ

นอกจากนี้ จากผลงานวิจัยหนึ่งพบว่า‘สารคาเตคิน’ในชาเขียวสามารถยับยั้งการเจริญของเชื้อแบคทีเรียก่อโรคโดยไม่ทำอะไรแบคทีเรียที่ดีในช่องปาก ดังนั้นจึงแนะนำเพิ่มเติมให้บ้วนปากภายหลังการแปรงฟันด้วยน้ำ‘ชาเขียว’เข้มข้น(ชงผงชาเขียวในน้ำอุ่น)ก่อนนอน โดยไม่ต้องบ้วนน้ำเปล่าตามหลัง

[หมายเหตุ: ชาเขียวจะให้ผลได้ดีที่สุดเมื่อเทียบกับชาชนิดอื่นๆ และสีเขียวจากชาเขียวเองก็ไม่เคลือบติดบนฟันนะครับ]

Credit-Information: Iwai T, J Periodontal Res. 2009; Tamura M et al, Biol Pharm Bull. 2011 Credit-Pictures: NHK TV, Japan (ดัดแปลงภาพโดยใส่ข้อความภาษาไทย) อ้างอิง...Dr.Aki - หมออาคิ

น่าทึ่งมากๆ เธอใช้ขมิ้นทารอบดวงตาเพียง 10 นาที สิ่งที่น่าเหลือเชื่อก็เกิดขึ้น แถมช่วยป้องกันโรคได้หลายชนิด


น่าทึ่งมากๆ เธอใช้ขมิ้นทารอบดวงตาเพียง 10 นาที สิ่งที่น่าเหลือเชื่อก็เกิดขึ้น แถมช่วยป้องกันโรคได้หลายชนิด

ขมิ้นเป็นของคู่ครัวของชาวอินเดียที่มีความพิเศษ มันมีสีทองและรสชาติที่น่าประหลาด แต่สิ่งที่พิเศษกว่านั้น มันมีคุณสมบัติในการรักษาอย่างไม่น่าเชื่อ

มันถูกใช้กันอย่างแพร่หลาย มันมีคุณสมบัติเทียบเท่ากับยา แพทย์แผนจีนและอายุรเวทใช้ในการรักษาหลาย ๆ ปัญหาด้านสุขภาพ และความเจ็บปวดจากมะเร็ง

สิ่งที่ทำให้เครื่องเทศชนิดนี้พิเศษ คือมีคุณสมบัติในการต่อต้านริ้วรอย อาการอักเสบและสารต้านอนุมูลอิสระ

ในขมิ้นมีส่วนประกอบที่เรียกว่า เคอร์คูมิน ซึ่งถูกศึกษาอย่างละเอียดถี่ถ้วนในปีที่ผ่านมา ว่ามันมีประโยชน์มาก เป็นยาฆ่าเชื้อ ที่มีคุณสมบัติต้านการอักเสบและสารต้านอนุมูลอิสระ

นอกเหนือไปจากนั้น ขมิ้นยังมีสารอาหารอื่น ๆ เช่น วิตามิน แร่ธาตุ แคลเซียม และ ไฟเบอร์ ส่วนที่ดีที่สุดในส่วนประกอบคือ เคอร์คูมิน ซึ่งไม่เป็นพิษ และ ไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงใด ๆ ดังนั้น มันจึงมีความปลอดภัยมากในการใช้

ขมิ้นมีประโยชน์ต่อสุขภาพ

ทำให้อารมณ์ดีขึ้น
ควบคุมโรคเบาหวาน

ขับสารพิษในตับ

ทำให้การย่อยอาหารดีขึ้น

ป้องกันการเกิดโรคอัลไซเมอร์

บำรุงหัวใจ

สมานแผล

ป้องกันการเกิดโรคไขข้ออักเสบ และ เป็นยาบรรเทาปวดตามธรรมชาติ

ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง

ทำให้ผิวเปล่งปลั่งมีสุขภาพดี

ขมิ้นนั้นมีดีในการปกป้องผิวคล้ำและ ช่วยปรับสภาพผิว การใช้ขมิ้นเป็นประจำจะช่วยให้ผิวของคุณสดใสเปล่งปลั่ง

สูตร

ทั้งหมดที่คุณต้องทำคือ ผสมผงขมิ้น ½ ช้อนชา กับ น้ำมะนาวและน้ำมะเขือเทศ 1 ช้อนชา จากนั้นก็คนให้เข้ากันให้มีลักษณะเหมือนแป้ง

ใช้ส่วนผสมนี้ในการลดความหมองคล้ำรอบดวงตา และ ทาทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที ส่วนผสมนี้เป็นหนึ่งในการเยียวยาจากธรรมชาติที่ดีที่สุดในการรักษาความหมองคล้ำและ สามารถที่จะเช็ดออกตอนใหนก็ได้

อีกวิธีคือ การใช้ผงขมิ้นและน้ำสับปะรดผสมกัน ทาทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที รอบดวงตา ผลลัพธ์ที่ออกมาจะทำให้ผิวสว่างสดใส

คุณเคยได้ยินคำว่า "โกลเด้นมิลล์" ไหม นี้คือการรักษาแบบโยคีโบราณ และยังเป็นทีแพร่หลายในการรักษาปัญหาสุขภาพต่าง ๆ รวมทั้ง พยาธิ ไตติดเชื้อ ริ้วรอย ติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ ติดเชื้อไวรัส อุจจาระร่วง ไข้หวัด ปวดกล้ามเนื้อ หลอดลมอักเสบ ปวดศีรษะ และ โรคไขข้ออักเสบ

สูตรโกลเด้นมิลล์

ส่วนผสม:

นม 1 ถ้วย

น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ ½ ช้อนชา

น้ำผึ้งสด 1 ช้อนชา

ขมิ้น ½ ช้อนชา

พริกไทยดำสด ½ ช้อนชา

วิธีทำ

เริ่มจาก นำนมไปต้ม ใส่อบเชย น้ำมันมะพร้าว น้ำผึ้ง ขมิ้นและพริกไทย คนไปเรื่อยๆ จนส่วนผสมเดือด เมื่อแน่ใจว่ามันไม่ร้อนแล้ว จากนั้นเตรียมเสริฟ โกลเด้นมิลล์ ได้เลย

อ้างอิง : finelivingadvice.com แปลข้อมูลโดย : www.rak-sukapap.com

ทำก่อนสุขภาพดีก่อน! เคล็ดลับ 12 ข้อจากแพทย์จีน อ่านแล้วทำเลยมันดีมาก


ทำก่อนสุขภาพดีก่อน! เคล็ดลับ 12 ข้อจากแพทย์จีน อ่านแล้วทำเลยมันดีมาก

1. หวีผมบ่อยๆ

หวีผมเบาๆ บ่อยหน่อยช่วยให้ตาสว่าง และรากผมแข็งแรง (ใช้หวีซี่ห่างหน่อย แปรงเบาหน่อย เพื่อกันผมหลุด)

2. ถูใบหน้าบ่อยๆ

ล้างมือด้วยสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์ให้สะอาดก่อน หลังจากนั้นใช้ฝ่ามือ 2 ข้างถู หน้าเบาๆ บ่อยหน่อยเพื่อกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น ใบหน้าเปล่งปลั่ง

3. เคลื่อนไหวดวงตาบ่อยๆ

ให้มองไกล-มองใกล้ มองข้างนอก-ข้างใน มองบน-มองล่าง หลีกเลี่ยงการมอง หรือจ้อง อะไรนานๆ โดยเฉพาะคนที่ทำงานคอมพิวเตอร์ควรพักสายตาด้วยการมองไกลอย่างน้อยทุกชั่วโมง

4. กระตุ้นใบหูบ่อยๆ

การดึงหู ดีดหู บีบหู ถูใบหูเบาๆ บ่อยหน่อย ช่วยบำรุงตานเถียน (จุดฝังเข็ม) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เก็บพลังงานของร่างกาย (ใต้สะดือ) สัมพันธ์กับไต ซึ่งเปิดทวารที่หู ทำให้แรงดี ป้องกันเสียงดังในหู หูตึง และอาการเวียนหัว

5. ขบฟันบ่อยๆ

ขบฟันเบาๆ บ่อยหน่อย (ไม่ใช่ขบแรงดังกรอดๆ) ช่วยให้ฟันแข็งแรง และกระตุ้นการหลั่งน้ำย่อย

6. ใช้ลิ้นดุนเพดานปากบ่อยๆ

การใช้ปลายลิ้น กระตุ้นเพดานบนด้านหน้าเป็นการกระตุ้นจุดฝังเข็ม เพื่อเชื่อมพลัง ลมปราณตู๋และเยิ่น ซึ่งเป็นเส้นควบคุมแนวกลางลำตัวส่วนหลัง และส่วนหน้าร่างกาย ทำให้เกิดการกระตุ้นการหลั่งสารน้ำ และน้ำลาย

7. กลืนน้ำลายบ่อยๆ

การกลืนน้ำลายบ่อยๆ ช่วยกระตุ้นพลังบริเวณคอหอย และกระตุ้นการย่อยอาหาร

8. หมั่นขับของเสีย

หมั่นขับของเสีย โดยเฉพาะดื่มน้ำให้พอ กินอาหารที่มีเส้นใย ออกกำลัง เพื่อป้องกันท้องผูก เมื่อปวดปัสสาวะหรืออุจจาระให้ถ่ายทันที อย่ารอโดยไม่จำเป็น การทิ้งของเสียไว้ในร่างกายนานเกินทำให้เกิดสารพิษ และการดูดซึมสารพิษ (กลับเข้าสู่ร่างกาย) มากขึ้น ทำให้ป่วยง่าย

9. ถูหรือนวดท้องบ่อยๆ

ให้นวดท้องตามเข็มนาฬิกาเบาๆ เพื่อช่วยให้การขับถ่ายของเสียดีขึ้น

10. ขมิบก้นบ่อยๆ

การขมิบก้นบ่อยๆ ช่วยป้องกันริดสีดวงทวาร และท้องผูก

11. เคลื่อนไหวทุกข้อ

การอยู่นิ่งๆ หรืออยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานเกินไป ทำให้เกิดโรคได้ง่าย ควรเคลื่อน ไหวข้อต่างๆ ให้ครบทุกข้อทุกวัน ฝึกฝนการใช้กล้ามเนื้อและข้อให้สมดุล เช่น การฝึกชี่กง ไท้เก้ก โยคะ ฯลฯ

12. ถูผิวหนังบ่อยๆ

ใช้ฝ่ามือถูตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย คล้ายกับการถูตัวเวลาอาบน้ำ มีส่วนช่วยให้ เลือดและพลังไหลเวียนดี

เรียนเชิญท่านผู้อ่านลองนำไปปฏิบัติดู เพื่อสุขภาพ พลัง และลมปราณที่ดีไป นานๆ

ข้อมูลจาก http://kesihatan.psu.ac.th/health-care/206

อย่ารู้ช้าไป ถ้ารถประสบอุบัติเหตุโดนชน เราสามารถเรียกเงินก้อนโตจากประกันได้ เพียงทำแบบนี้


อย่ารู้ช้าไป ถ้ารถประสบอุบัติเหตุโดนชน เราสามารถเรียกเงินก้อนโตจากประกันได้ เพียงทำแบบนี้

คุณ Somchet J. Mhin ที่ได้โพสต์เรื่องราวของการเรียกคืนเงินสินไหมทดแทนค่าเสียประโยชน์จากประกัน ในกรณีที่รถเราโดนชนได้ โดยจากโพสต์ระบุว่า...

2 เดือนก่อน กำลังจะเลี้ยวรถเข้าบ้าน โดนชนตูด ต้องเสียเวลาซ่อมรถไปสี่สิบกว่าวัน เพราะบริษัทประกันของคู่กรณี มัวแต่จะประหยัดค่าอะไหล่ จึงเสียเวลาไปหาอะไหล่มือสองมาเปลี่ยนให้ แต่เด็กอู่กะเราซี้กัน เด็กอู่เลยตีกลับให้ใช้อะไหล่ใหม่ ส่วนเราก็ไม่ได้ไปเร่งอะไร เพราะมีรถสำรองใช้อยู่แล้ว ยิ่งลากยาวซ่อมนานเท่าไหร่ เดี่ยวจะสั่งสอนให้เข็ด

พอซ่อมเสร็จเลยเรียกเคลม "ค่าขาดประโยชน์" ไป 45 วัน เรียกไปวันละพัน บวกกับค่าเสื่อมสถาพรถ เป็นห้าหมื่นกว่าบาท บริษัทประกันเงิบครับ ต่อรองจะขอจ่ายแค่ 2 หมื่น เลยแกล้งยื้อเล่นๆ เขาเลยให้มา 25,000 ขี้เกียจวุ่นวาย ได้มา 25,000 ก็ดีกว่าไม่ได้เลย จะได้เอาไปหล่อทองหลวงปู่

จากกรณีตัวอย่างนี้ จึงอยากจะบอกเพื่อนๆว่า ถ้าเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ และเราเป็นฝ่ายถูก นอกจากคู่กรณีจะต้องซ่อมแซมรถเราให้อยู่ในสภาพเดิมแล้ว เรายังสามารถเรียกสินไหมค่าขาดประโยชน์จากการไม่ได้ใช้รถด้วยนะครับ ส่วนวิธีขอก็ไม่ได้ยุ่งยาก ยินดีให้คำปรึกษาครับ

และในทางกลับกัน หากเราไปชนเขา คู่กรณีก็มีสิทธิ์เรียกสินไหมค่าขาดประโยชน์ด้วยเช่นกันนะครับ

ผมเชื่อว่าคนรู้เรื่องนี้กันน้อย บริษัทประกันเลยได้ประโยชน์ไป ที่ไม่ถูกเรียกร้องสินไหมในส่วนนี้ แต่สำหรับเพื่อนๆ ตอนนี้ก็รู้แล้วนะครับ ต่อไปถ้ารถถูกชน ก็อย่าลืมไปเรียกค่าขาดประโยชน์จากบริษัทประกันของคู่กรณีนะครับ

และหลังจากเรื่องนี้ได้รับการแชร์ออกไปเป็นอย่างมากคุณ Somchet J. Mhin ก็ได้ออกมาโพสต์ให้ความรู้เพิ่มเติมอีกด้วยว่า...

ผมเขียนเรื่องการขอสินไหมค่าขาดประโยชน์ กรณีรถเราถูกชน ปรากฏว่ามีคนสนใจกันมาก แชร์ไปแปดพันกว่า แสดงว่าคนส่วนใหญ่ไม่มีความรู้ในเรื่องนี้ จึงทำให้ถูกบริษัทประกันภัยเอาเปรียบ และก็มีคนเขียนหลังไมค์มาถามเป็นร้อย จนผมเริ่มตอบไม่ไหว เลยขอตอบที่หน้าวอลล์เลยล่ะกัน

เอกสารที่ใช้ในการขอสินไหมค่าขาดประโยชน์ มี

1. สำเนาใบเคลม

2. สำเนาใบรับรถ(จากอู่ที่ซ่อมรถ ซึ่งเขาจะต้องลงวันที่ว่ารับรถวันไหน)

3. สำเนาทะเบียนรถ (เพื่อเป็นการแสดงว่า ใครเป็นเจ้าของรถ ถ้ารถติดไฟแนนซ์ ต้องมีสำเนาสัญญาไฟแนนซ์ด้วย)

4. สำเนาบัตรประชาชนของเจ้าของรถ

5. ใบมอบอำนาจ (ถ้าไม่ได้ไปเอง)

6. ใบเสร็จค่าใช้จ่ายต่างๆที่เกิดขึ้นในระหว่างที่ไม่มีรถใช้ เช่น ค่าเช่ารถ แต่ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร บอกว่าขึ้นแท๊กซี่เอา

7. จดหมายขอค่าขาดประโยชน์ ดังตัวอย่างของผมดังนี้ครับ .....

วันที่ 18 กันยายน 2558

เรื่อง ขอเรียกสินไหมค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถระหว่างซ่อม

เรียน แผนกสินไหมทดแทน บริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน)

เอกสารแนบ
/> 1. สำเนาใบเคลม

2. สำเนาใบรับรถ

3. สำเนาทะเบียนรถ

4. สำเนาบัตรประชาชน

ข้าพเจ้า นายxxxxx xxxxxxxx เป็นเจ้าของรถยนต์ โตโยโต้ รุ่นแคมรี่ หมายเลขทะเบียน xx xxxx กทม. ถูกรถเทรลเลอร์ยี่ห้อ ISUZU ของบริษัท อาร์ อาร์ เอสทรานสปอร์ต จำกัด หมายทะเบียน 70-8725 ฉะเชิงเทรา เลขกรรมธรรม์ 5720425055 ชนท้ายที่ปากซอยรามอินทรา 45 เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2558

จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้รถของข้าพเจ้ามีความเสียหายดังนี้

1. กันชนหลังบุบและฉีก

2. ฝาปิดท้ายบุบบี้

3. บังโคลนหลังซ้ายขวาบุบ

4. แผงท้ายบุบ

5. ไฟท้ายซ้ายขวาแตก

6. ไฟทับทิมซ้ายขวาแตก

7. ท่อไอเสียแตก

ข้าพเจ้าได้จึงได้นำรถยนต์เข้าซ่อมที่ อู่ของบริษัท พีแอนด์ดับบลิว ออโต้เซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นอู่ในเครือของ สินมั่นคงประกันภัย ในวันที่ 27 กรกฎาคม 2558 ซ่อมเสร็จ วันที่ 11 กันยายน 2558 ใช้ระยะเวลาซ่อม 46 วัน

ข้าพเจ้าทำงานเป็นผู้บริหารบริษัท xxxxxxxxxxxx จำกัด โดยปกติจะต้องใช้รถยนต์สำหรับติดต่อลูกค้าทั่วกรุงเทพฯและปริมณฑลทุกวัน ประมาณ 100-200 กม./วัน ในระหว่างที่นำรถเข้าซ่อมนั้น ข้าพเจ้าต้องใช้บริการรถแท็กซี่ในการเดินทางแทนและมีความไม่สะดวกในการเดินทางอย่างมาก

ดังนั้น จึงขอเรียกสินไหมดังต่อไปนี้

1. ค่าขาดผลประโยชน์จากการใช้รถ 1,000 บาทต่อวัน เป็นระยะเวลา 46 วัน รวม 46,000 บาท

2. ค่าเสื่อมสภาพรถจากอุบัติเหตุ 10,000 บาท

รวมทั้งสิ้น 56,000 บาท (ห้าหมื่นหกพันบาทถ้วน) ทั้งนี้ได้แนบตัวอย่างอัตราค่าเช่ารถโตโยต้าแคมรี่มาเพื่อประกอบการพิจารณา

จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา

ขอแสดงความนับถือ

(นายxxxxxx xxxxxxxx)

ขอขอบคุณที่มาจากคุณ : Somchet J. Mhin และ kaijeaw

สะตอ กลิ่นแรงแต่ประโยชน์เพียบ กินป้องกันโรค พร้อมวิธีดับกลิ่น


สะตอ กลิ่นแรงแต่ประโยชน์เพียบ กินป้องกันโรค พร้อมวิธีดับกลิ่น

สะตอ ผักกลิ่นแรง แต่รสชาติก็ยังเป็นที่ถูกใจของใครหลายคน นำมาทำอาหารรับประทานได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะนำมาผัด กินกับน้ำพริก กินคู่ส้มตำ ก็อร่อยไม่แพ้กัน แต่อย่าพูดถึงกลิ่นไม่พึ่งประสงค์นะคะ เรียกว่ายืนห่างกันเป็นเมตร กลิ่นยังโชยมาได้ตลอด

แต่ถึงสะตอจะกลิ่นแรงเพียงใด มันก็ประโยชน์อย่างมากมายนะคะ เช่น...

1.ประโยชน์สะตอมีส่วนช่วยบำรุงสายตา

2.ช่วยทำให้เจริญอาหาร

3.ช่วยป้องกันหลอดเลือดอุดตัน

4.ประโยชน์ของสะตอ ช่วยลดความดันโลหิต

5.ช่วยทำให้เม็ดเลือดแดงเกาะกลุ่มกันได้ดีขึ้น

6.มีผลต่อการแบ่งตัวของเซลล์

7.สะตอประโยชน์ ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด

8.เชื่อว่าการรับประทานเป็นประจำจะช่วยป้องกันการเกิดโรคเบาหวานได้

9.สรรพคุณของสะตอ ช่วยขับลมในลำไส้

10.ช่วยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้

11.สะตอ สรรพคุณช่วยในการขับปัสสาวะ

12.สรรพคุณสะตอ มีฤทธิ์เป็นยาระบาย ช่วยในการขับถ่าย

13.แก้ปัสสาวะพิการ

14.ช่วยแก้ไตพิการ

15.ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย

16.ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา

17.สะตอทําอะไรได้บ้าง เช่น สะตอผัดกุ้ง แกงป่าใส่สะตอ สะตอผัดกะปิกุ้งสด เป็นต้น

18.และยังใช้แปรรูปเป็นสะตอดองได้อีกด้วย ส่วนยอดสะตอนำมารับประทานเป็นผักเหนาะ

19.ใบของสะตอใช้ทำเป็นปุ๋ยบำรุงดิน

20.ลำต้นของสะตอใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้าน

วิธีดับกลิ่นสะตอ เมื่อทานสะตอเข้าไปแล้วหลังทานเข้าไปจะมีกลิ่นปาก ซึ่งเราสามารถกำจัด กลิ่นอันไม่พึงประสงค์นี้ได้ด้วยการรับประทานมะเขือเปราะตามไปประมาณ 2-3 ลูก ก็จะช่วยดับกลิ่นเหม็นเขียวของสะตอได้ดีในระดับหนึ่ง

ข้อมูลจาก www.deedaily.com/beauty-fashion/1814