วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ฟังไม่ผิดหรอก นี่คือประโยชน์ของ ขี้หู ถึงกับไม่อยากแคะทิ้งเลย


ฟังไม่ผิดหรอก นี่คือประโยชน์ของ ขี้หู ถึงกับไม่อยากแคะทิ้งเลย

ขึ้นชื่อว่า "ขี้" ไม่ได้หมายความว่าจะสกปรกและต้องกำจัดให้หมดไปเสมอ ดังเช่น "ขี้หู" เพราะความจริงแล้วขี้หูมีประโยชน์มากกว่าที่เราๆ คิดเสียอีก ฉะนั้นใครที่เข้าใจว่าต้องหมั่นแคะทำความสะอาดนั้น เราต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่แล้วล่ะ

"ขี้หู" เกิดจากการรวมตัวกันของสารที่ขับออกมาจากต่อมไขมันที่อยู่ในหูชั้นนอก รวมกับผิวหนังชั้นบนที่ลอกหลุดออกมา โดยมีสีแตกต่างกันได้ เช่น สีเหลือง น้ำตาล หรือสีแดง เป็นต้น และสำหรับเจ้าตัวน้อยที่อายุ 0-6 ปี ขี้หูมีประโยชน์คือช่วยป้องกันผิวหนังของรูหูจากสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น น้ำ เหงื่อ รวมไปถึงเชื้อโรค ฝุ่นละออง และปกติขี้หูที่สะสมอยู่จะแห้งหลุดออกมาได้เอง และจะไม่เคลื่อนตัวเข้าไปในส่วนลึกๆ ของรูหู จึงไม่จำเป็นต้องแคะหรือใช้ไม้พันสำลีเช็ดเข้าไปในหู

มีขี้หู…ต้องดูแลจริงหรือ?

สำหรับขี้หูจริงๆ แล้วไม่ต้องไปทำอะไรเลย บ่อยครั้งที่คุณแคะ เพราะกลัวหูจะสกปรกนั้น อาจดันให้ขี้หูยิ่งเข้าไปสะสมในรูหูส่วนลึก หรืออาจทำให้รูหูถลอก เกิดการอักเสบ ติดเชื้อได้ โดยเฉพาะผิวหนังส่วนในนั้นบอบบางมาก ถ้าไปแคะหรือแหย่หูลึกๆ กระแทกโดนจะทำให้เจ็บมาก และอาจเป็นอันตรายต่อแก้วหูได้

บางคนอาจจะบอกว่าถ้าไม่ได้แหย่เข้าไปในรูหูลึกๆ คงจะไม่เป็นอะไรมั้ง ความจริงแล้วการแคะบ่อยๆ ก็ไม่ดีค่ะ การแคะหู จะไปทำลายขี้หูทำให้รูหูขาดสารป้องกันเชื้อ และยังไปกระตุ้นให้มีการสร้างขี้หูเพิ่มขึ้น หากคุณปั่นหูหรือแคะเป็นประจำ ขี้หูก็จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งธรรมชาติของการใช้ไม้พันสำลีปั่นหู อาจเกิดการดันขี้หูทะลุเข้าแก้วหูได้

สำหรับลูกน้อย จะดูแลหูอย่างไรดี?

เพราะขี้หูไม่ได้มีโทษอะไร การดูแลทำความสะอาดจึงง่ายมาก หลังอาบน้ำสระผมให้เจ้าตัวเล็กแล้ว เพียงใช้ผ้าเช็ดตัวซับน้ำตามใบหูให้แห้ง แค่นั้นก็เป็นเรียบร้อยแล้วแต่หากลูกมีอาการหูอื้อ ได้ยินไม่ชัด ปวดหู หรือน้ำเข้าหูนานแล้วหูยังอื้อไม่หาย ให้พาไปพบคุณหมอ เพื่อช่วยแคะขี้หูออกให้ค่ะ

ซึ่งคุณหมอจะทำอย่างถูกวิธี และมีการระวังการโดนผนังรูหู แถมทำเพียงครั้งเดียว ไม่ได้ทำทุกวันด้วย ถ้าคุณพ่อคุณแม่แคะหูให้เจ้าตัวน้อย ไม้แคะหู หรือสำลี อาจจะขูดผิวหนังให้เป็นแผลได้นะคะ แม้ว่าแผลจะเล็กจนมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่แผลนั้นก็ยังใหญ่กว่าขนาดของเชื้อโรคที่จะเข้าไปในแผลได้

5 คำถามเรื่องขี้หู ขี้หู

1. ถาม : อาการขี้หูตัน เกิดจากอะไร และมีอาการอย่างไร เกิดในเด็กได้หรือไม่

ตอบ : อาจเกิดขึ้นในเด็กได้ โดยมักเกิดจากการแคะ การทำความสะอาดที่มากเกินไป จนทำให้เกิดการระคายเคือง อักเสบ แล้วกระตุ้นให้เกิดการสร้างขี้หูมากขึ้น จนเกิดการสะสมของขี้หู ซึ่งมีลักษณะเป็นก้อนแข็ง ทำให้อุดตันในรูหูได้ โดยเด็กอาจจะมีอาการคัน เจ็บตึงๆ ที่บริเวณหู หรือมีอาการหูอื้อ ได้ยินไม่ชัด

2. ถาม : หากเด็กๆ คันในรูหู แล้วเกาบ่อยๆ แรงๆ ควรทำอย่างไรดี

ตอบ : การที่เด็กคันหูนั้น อาจเป็นเพราะคุณแม่ใช้สำลีพันแล้วเช็ดรอบๆ หูบ่อยๆ จึงทำให้เจ้าตัวเล็กคันได้ และเกาตลอด เพราะเด็กๆ ยังกะน้ำหนักไม่ถูก เวลาคันก็มักจะเกาแรง จนเกิดการถลอก ทำให้หูชั้นนอกอักเสบได้ เพราะฉะนั้นวิธีแก้คือทำความสะอาดปกติ ไม่ต้องใช้สำลีเช็ด แค่ผ้าขนหนูเช็ดรอบๆ หลังอาบน้ำ ซึ่งถ้ายังไม่หาย ควรพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุต่อไป

3. ถาม : เวลาที่อาบน้ำให้เจ้าตัวเล็กแล้วน้ำเข้าหู ต้องทำอย่างไร

ตอบ : เวลาน้ำเข้าหูเจ้าตัวเล็ก น้ำจะไหลออกมาเอง ซึ่งจะมีเยื่อแก้วหูช่วยป้องกันไม่ให้น้ำเข้าสู่หูชั้นกลาง ถ้าน้ำเข้าหูเป็นชั่วโมงแล้วยังไม่ออกมา ส่วนใหญ่เป็นเพราะมีขี้หูในส่วนลึกของรูหูซึ่งอมน้ำไว้ กรณีเช่นนี้ควรให้แพทย์ หู-คอ-จมูก ตรวจทำความสะอาดหู แพทย์อาจล้างหูด้วยการฉีดน้ำ หรือใช้เครื่องดูดขี้หู แล้วแต่ความเหมาะสม

4. ถาม : ถ้ามียุง มด หมัด เห็บ แมลงต่างๆ เข้าไปในหูเจ้าตัวเล็ก ควรทำอย่างไรดี

ตอบ : เวลาที่มีแมลง หรือสัตว์ตัวเล็กๆ เข้าไปในหูเด็กๆ จะรู้สึกรำคาญ หงุดหงิด ถ้าเป็นเด็กเล็กจะร้องไห้โยเย ถ้าแมลงเคลื่อนไหวคลานอยู่ในหูหรือกัดจะรู้สึกเจ็บ บางคนจะเจ็บมาก มีอาการทุรนทุราย มีวิธีช่วยเหลือเบื้องต้นคือ ให้ใช้น้ำมันมะกอกหยอด เพื่อป้องกันไม่ให้แมลงเกาะหรือกัดแก้วหูแล้วนำส่งโรงพยาบาล ถ้าปวดหูมากให้กินยาแก้ปวดก่อนนำส่งโรงพยาบาล

5. ถาม : หูชั้นนอกอักเสบเกิดได้จากอะไรบ้าง

ตอบ : จริงๆ แล้วหูชั้นนอกเกิดการอักเสบได้ยากมาก ซึ่งการจะอักเสบนั้นอาจเกิดจาก

1. การที่ขี้หูมีความชื้นสูง ซึ่งอาจเกิดจากน้ำเข้าหู การว่ายน้ำบ่อยๆ อยู่ในที่อากาศร้อน (จนเหงื่อออกในหู) เมื่อขี้หูเปียกบ่อยๆ ก็จะลดความเป็นกรดและไม่อาจต้านทานแบคทีเรียได้

2. มีวัตถุเข้าไปแหย่ในหูจนเกิดแผล เช่น การเอานิ้วแคะหู การใส่หูฟัง การใส่ที่อุดหูกันน้ำเข้า การใช้ไม้พันสำลีแคะหู รวมไปถึงการใช้สารเคมีบางอย่างหยอดหู อย่างเช่นแอลกอฮอล์ หรือ ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ และสารอื่นๆ ก็อาจจะทำให้หูอักเสบได้

3. การมีขี้หูอุดตันก็จะทำให้หูอักเสบได้

บทความจาก...... นิตยสาร รักลูก

วันพุธที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

แจกสูตรผอมเร็ว แค่ทานน้ำอุ่นกับสิ่งนี้ หุ่นเพรียวลม ไขมันหายแน่นอน


แจกสูตรผอมเร็ว แค่ทานน้ำอุ่นกับสิ่งนี้ หุ่นเพรียวลม ไขมันหายแน่นอน

การที่เรากินอะไรร้อนๆ เข้าไป ร่างกายจะช่วยในเรื่องการเผาผลาญไขมัน ได้นั้น อาจจะไม่ถูกต้องซะทีเดียว แต่การกินน้ำอุ่นกับสิ่งเหล่านี้อาจช่วยให้เราลดน้ำหนักได้นะ

เคล็ดลับการไดเอท

1. น้ำอุ่น + มะนาว แช่มะนาวฝาน 1 ชิ้นลงใน น้ำอุ่น แล้วดื่ม กลิ่นน้ำมันหอมระเหยของมะนาวจะช่วยระงับความอยากอาหาร ทำให้กินอาหารน้อยลง

2. น้ำอุ่น + กีวี แช่กีวีหั่น 1 ชิ้นลงใน น้ำอุ่น เติมน้ำผึ้งเล็กน้อย แล้วดื่ม กีวีมีเอนไซม์ช่วยย่อยโปรตีน และอุดมด้วยใยอาหาร จึงกระตุ้นการย่อยของกระเพาะอาหาร

3. น้ำอุ่น + สะระแหน่ แช่สะระแหน่ 3 ใบลงใน น้ำอุ่น แล้วดื่ม สะระแหน่มีสรรพคุณกระตุ้นการเผาผลาญ กลิ่นน้ำมันหอมระเหยที่เย็นสดชื่นยังทำให้สมองตื่นตัว ยิ่งส่งเสริมการเผาผลาญให้ดีขึ้น

4. น้ำอุ่น +ใบงาขี้ม้อน (ใบชิโสะ) + เกลือ แช่ใบงาขี้ม้อน 1 ใบลงใน น้ำอุ่น เติมเกลือเล็กน้อย แล้วดื่ม ใบงาขี้ม้อนช่วยแก้ท้องผูก กระตุ้นให้ขับถ่ายสะดวก อีกทั้งมีคุณสมบัติฆ่าเชื้อโรค จึงป้องกันภาวะอาหารเป็นพิษ

ที่มา.. n3k.in.th

ไม่ต้องไปเสียเงินแพงๆ แจกสูตรเท้าสวยได้ง่ายๆ แค่ใช้ของในครัว


ไม่ต้องไปเสียเงินแพงๆ แจกสูตรเท้าสวยได้ง่ายๆ แค่ใช้ของในครัว

สูตรเท้าสวยได้ง่ายๆ แค่มีสิ่งเหล่านี้ในครัวของคุณ

เท้าสวยสุขภาพดีก็เป็นเรื่องจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของคุณมากกว่าที่คุณคิด

รอยแตก แห้งกร้าน และปัญหาฝ่าเท้าอื่นๆ สามารถขัดขวางคุณภาพการใช้ชีวิตของคุณได้ง่ายๆเมื่อคุณย่างก้าวเพื่อเคลื่อนไหวร่างกาย สุขอนามัยส่วนบุคคลและอาหารส่งผลต่อสุขภาพเท้าของคุณและสิ่งเหล่านี้ต้องควบคู่ไปด้วยกันเพื่อหนทางที่ดีต่อการใช้ชีวิตประจำวันของคุณ

คุณมักเสียเงินกับการรักษาโรคเท้าหรือการใช้ผลิตภัณฑ์สวยงามเพื่อการรักษาเท้าอาจไม่ได้ทำให้เท้าคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้น

หัวข้อวันนี้เลยอยากให้คุณรักษาแบบ DIY ที่จะช่วยให้เท้าคุณปลอดภัยและมีสุขภาพเท้าที่ดีขึ้น ช่วยป้องกันเท้าแห้ง แตกร่อนเป็นแผ่นและตกเสะเก็ด

ส่วนผสมที่หาได้ในครัวที่บ้านคุณและทำได้ง่ายมากๆ

นมจืด 2-4 แก้ว

เบคกิ้งโซดา 3 ช้อนโต๊ะ

วิธีการทำ

เริ่มจากอุ่นนมและเทใส่กะละมังหรืออ่างแช่เท้า ใส่เบคกิ้งโซดาลงไปคนให้เข้ากัน นำเท้าลงไปแช่เป็นเวลา 10 นาที เมื่อเสร็จแล้วให้ล้างเท้าด้วยน้ำอุ่นและซับเบาๆให้แห้งด้วยผ้าขนหนู ทาด้วยครีมบำรุงเท้าที่ใช้เป็นประจำ จากนั้นรอดูผลได้เลย

ที่มา...http://www.share-si.com/2016/11/blog-post_71.html

อ่านเอาไว้ กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน เสี่ยงเสียชีวิตใน 60 นาที


อ่านเอาไว้ กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน เสี่ยงเสียชีวิตใน 60 นาที

โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน อาจทำให้เสียชีวิตภายใน 1 ชั่วโมงหลังเกิดอาการ กรมการแพทย์เตือนหากจุกแน่นหน้าอก เหงื่อออก ใจสั่น ปวดร้าวไปกราม จุกใต้ลิ้นปี่ ให้รีบพบแพทย์ทันที แนะหลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูงความเครียดบุหรี่และแอลกอฮอล์ควบคุมอาหารออกกำลังกาย ตรวจสุขภาพประจำปี จะลดความเสี่ยงโรคหัวใจได้

นายแพทย์ณรงค์ อภิกุลวณิชรองอธิบดีกรมการแพทย์และโฆษกกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันเป็นภาวะที่มีลิ่มเลือดอุดหลอดเลือดหัวใจ ทำให้เลือดไม่สามารถไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ หัวใจจะขาดเลือดและออกซิเจน ส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจตาย

ในประเทศไทยพบว่าร้อยละ 45 ของการเสียชีวิตเฉียบพลัน เกิดจากโรคหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งโรคนี้มักเกิดขึ้นทันทีแบบเฉียบพลันเช่น ขณะปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน ทำงาน เล่นกีฬาเกิดจากภาวะหลอดเลือดแดงแข็งและก่อตัวเป็นตะกรัน โดยหลอดเลือดเมื่อเกิดการร่อนหลุดของตะกรัน ทำให้มีการอุดตันของหลอดเลือด อาจทำให้เสียชีวิตเฉียบพลัน มักเกิดขึ้นภายใน 1 ชั่วโมง และที่สำคัญมากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้เสียชีวิตเฉียบพลันจากโรคหัวใจ ไม่เคยแสดงอาการมาก่อนสะท้อนให้เห็นว่าโรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นโรคที่ต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดดังนั้นการดูแลสุขภาพตนเองเป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐานเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงอยู่เสมอ

หลักการง่ายๆ ที่สามารถปฏิบัติตนเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคคือ

หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง โดยเฉพาะไขมันประเภทอิ่มตัว เช่น ไขมันจากเนื้อสัตว์อาหารฟาสต์ฟู้ด เนยและผลิตภัณฑ์จากนมที่ไม่พร่องไขมันเพราะอาหารที่มีไขมันสูงจะทำให้เกิดการสะสมไขมันในผนังหลอดเลือดโดยควรรับประทานผักและผลไม้ให้มากขึ้นในแต่ละมื้อ

หลีกเลี่ยงความอ้วน ซึ่งหากมีนํ้าหนักตัวมากหัวใจจะทำงานหนักขึ้นเพื่อส่งโลหิต ออกซิเจนและสารอาหารไปเลี้ยงเนื้อเยื่อทั่วร่างกาย ซึ่งหากเปรียบเทียบการทำกิจกรรมประเภทเดียวกันหัวใจของคนที่มีนํ้าหนักตัวมากจะทำงานหนักกว่าคนที่มีนํ้าหนักตัวปกติดังนั้นควรควบคุมอาหารและออกกำลังกายเป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 -5 ครั้ง จะช่วยให้หัวใจสูบฉีดเลือดได้ดีและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอื่นๆ

หลีกเลี่ยงอารมณ์เครียด เพราะความเครียดจะมีผลต่อสุขภาพร่างกายในหลายๆ ด้านเช่นปวดศีรษะไปจนถึงขั้นหัวใจวายจึงควรทำจิตใจให้แจ่มใส ควบคุมอารมณ์ หลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่เป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดความเครียดโดยหากิจกรรมนันทนาการ เช่น ปลูกต้นไม้ ฟังเพลง เล่นกีฬา เพื่อให้ผ่อนคลาย

หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ซึ่งการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากเป็นเวลานานจะทำให้ปริมาณไขมันในเลือดมีระดับสูงลดสมรรถภาพของหัวใจในการสูบฉีดเลือดไปยังส่วนอื่นๆของร่างกายนอกจากนี้ หากพบว่าตนเองมีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ต้องควบคุมระดับความดันโลหิตและระดับนํ้าตาล ในเลือดมากกว่าบุคคลทั่วไป

อาการและสัญญาณเตือนของโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน คือ จุกแน่นหน้าอก มีเหงื่อออก ใจสั่น ปวดร้าวไปกราม สะบักหลัง แขนซ้าย จุกคอหอย จุกใต้ลิ้นปี่ คล้ายโรคกระเพาะ หรือกรดไหลย้อน ซึ่งหากมีอาการดังกล่าวให้รีบพบแพทย์โดยเร็วซึ่งจะต้องได้รับยาละลายลิ่มเลือดภายในเวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมงหลังมีอาการ หรือขยายหลอดเลือดด้วยบอลลูนและใส่ขดลวดคํ้ายันภายในเวลาไม่เกิน 3 ชั่วโมง หลังจาก มีอาการ จะให้ผลการรักษาที่ดีมาก

นอกจากนี้ควรตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปีและควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่างๆเช่น อาหารไขมันสูง ความเครียด ออกกำลังกายเพื่อป้องกันโรคหัวใจที่อาจเป็นภัยเงียบทำให้เสียชีวิตได้

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : www.sanook.com ข้อมูล :กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข

แจกสูตรเครื่องดื่มสมุนไพร น้ำผัวหลงน้ำเมียหลง ผู้ชายกินได้ผู้หญิงกินดีขอบอก


แจกสูตรเครื่องดื่มสมุนไพร น้ำผัวหลงน้ำเมียหลง ผู้ชายกินได้ผู้หญิงกินดีขอบอก

ไฮไลท์ของงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 12 คือการเปิดตัวเครื่องดื่มสมุนไพร "น้ำผัวหลง-น้ำเมียหลง"

"น้ำผัวหลง" พัฒนามาจากการนำสมุนไพรที่อยู่ในคัมภีร์แพทย์แผนไทย ประกอบด้วยหญ้ารีแพร์ ว่านชักมดลูก หญ้าหวาน มะตูม ฝาง มาตากแห้งแล้วนำมาต้มรวมกันในปริมาณสัดส่วนเท่า ๆ กัน จัดเป็นเครื่องดื่มที่เหมาะกับสตรีเพศ มีสรรพคุณช่วยกระชับช่องคลอด ลดการอักเสบของช่องคลอด ลดอาการปวดประจำเดือน บำรุงโลหิต บำรุงหัวใจ ขับน้ำคาวปลา บำรุงผิวพรรณ

"น้ำเมียหลง" ส่วนประกอบหลักๆ ได้แก่ กระชาย เถาวัลย์เปรียง กำแพงเจ็ดชั้น ม้ากระทืบโรง คำฝอย หญ้าหวาน มาต้มรวมกัน ซึ่งเหมาะกับบุรุษเพศ มีสรรพคุณช่วยเสริมสมรรถนะทางเพศ บำรุงกำลัง เป็นยาอายุวัฒนะ แก้ปวดเมื่อย ช่วยบำรุงการไหลเวียนของโลหิต มีความรู้สึกกระปรี้กระเปร่า กระชุ่มกระชวย

ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคเลือด ไม่ควรรับประทานเอง

ข้อมูลจาก Thaiza

นี่คือประโยชน์ของ มะพร้าว มันคือสุดยอดสมุนไพรชั้นเยี่ยมจริงๆ


นี่คือประโยชน์ของ มะพร้าว มันคือสุดยอดสมุนไพรชั้นเยี่ยมจริงๆ

สรรพคุณมะพร้าวทางด้านสมุนไพร

เนื้อมะพร้าว

สมุนไพรพื้นบ้านที่นำมาเคี่ยวเป็นน้ำมัน ใช้กินเพื่อกำจัดพยาธิและเป็นยาขับปัสสาวะ

น้ำมะพร้าว

ใช้ดื่มแก้กระหาย และให้พลังงานแก่ร่างกายใช้เป็นยาแก้ท้องเสีย ขับปัสสาวะ แก้อาการเมาจากพิษแอลกอฮอล์

เปลือกผลของมะพร้าว

นำเปลือกมะพร้าวสดมาเผาไฟเป็นสมุนไพรใช้ทาผิวหนังแก้โรคกลากเกลื้อน แก้โรคหิด แก้อาการผดผื่นคัน

วิธีทำน้ำมันมะพร้าวแบบง่ายๆ

มะพร้าวเป็นสมุนไพรไทยชั้นเยี่ยม เนื้อของมะพร้าวนิยมนำมาเคี่ยวทำเป็นน้ำมัน เพื่อไว้ใช้เป็นส่วนผสมในการเตรียมสมุนไพรเพื่อสุขภาพหลายชนิด หรือใช้กินเพื่อแก้อาการท้องเสีย ขับพิษ เป็นยาระบายแก้กระหายน้ำ ที่สำคัญสรรพคุณเด่นช่วยบำรุงหัวใจ และระบบเลือดได้อย่างดีเยี่ยม มาลองดูขั้นตอนการทำน้ำมันมะพร้าวอย่างง่ายๆ เพื่อเก็บไว้กิน

เลือกเอามะพร้าวแก่จัดสัก 1 ลูก นำมาขูดเอาแต่ส่วนที่เป็นเนื้อ จากนั้นคั้นให้เป็นน้ำกะทิ ใช้แต่ส่วนที่เป็นหัวกะทิ ตั้งไฟอ่อนๆ เคี่ยวจนน้ำกะทิเริ่มแตกตัวเป็นมัน สังเกตดูจากเกล็ดกะทิเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อนๆ ให้ยกลงแล้วรอจนกะทิเย็นตัว ใช้ผ้าขาวบางกรองเอาแต่ส่วนที่เป็นน้ำมันเก็บไว้ใช้กิน หรือเป็นยาสมุนไพร

ข้อมูลจากเพจ นพดล อุ่นตา

ผิวขาวเกลี้ยงเนียน สาวๆห้ามพลาด แจกสูตรสบู่ครีมมะขาม ทำง่ายๆ


ผิวขาวเกลี้ยงเนียน สาวๆห้ามพลาด แจกสูตรสบู่ครีมมะขาม ทำง่ายๆ

ส่วนผสม

1. นมสด

2. น้ำผึ้ง

3. มะขามเปียก 2-3 ฝัก

วิธิทำ

1. เอามะขามเปียกมาประมาณ 2-3 ฝัก เอาใยออกให้หมด

2. เอามะขามเปียกไปคั้นน้ำอุ่น 2 ช้อน นมสด 6 ช้อน คั้นให้ข้น เสร็จแล้วกรองออกด้วยผ้าขาวบาง เติมน้ำผึ้งลงไปเล็กน้อย แล้วคนให้เข้ากัน

วิธีใช้

ใช้ครีมทาบางๆ ให้ทั่วใบหน้า หรือทั่วร่างกาย รอให้แห้ง แล้วล้างออกให้สะอาด

สรรพคุณ

ใช้ล้างหน้าแทนสบู่, ชำระสิ่งสกปรก, แก้ฝ้า ทำให้ใบหน้านุ่มนวล

หมายเหตุ

1. สัดส่วนของสูตรในการทำสบู่ครีมมะขาม สามารถ ปรับได้ตามความต้องการ และสภาพของผิว

2. การเก็บสบู่ครีมมะขามให้เก็บในตู้เย็น สำหรับบางคนที่ไม่มีตู้เย็นให้ใช้วิธีนึ่งเสียก่อน จะเก็บไว้ได้นานประมาณ 1 สัปดาห์

ที่มา... มูลนิธิสุขภาพไทย

สาวๆห้ามพลาด เพียงแค่ใช้ว่านหางจระเข้กับสิ่งนี้ ก็จะทำให้ผิวขาวขึ้นได้อย่างรวดเร็ว


สาวๆห้ามพลาด เพียงแค่ใช้ว่านหางจระเข้กับสิ่งนี้ ก็จะทำให้ผิวขาวขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

ปัจจุบันมีผู้คนจำนวนมากตระหนักถึงความจริงที่ว่า เราต้องหมั่นดูแลรักษาผิวพรรณของเราให้มากขึ้น ทุกคนรู้ว่าผลิตภัณฑ์ที่มีขายตามท้องตลาดไม่ได้ดีพออย่างที่โฆษณาไว้ อีกทั้งมันยังมีอันตรายและส่งผลข้างเคียงต่อเราอีกด้วย โชคดีที่ตอนนี้เราไม่ต้องกังวลอีกต่อไปแล้ว เพราะในบทความนี้เราจะนำเสนอวิธีการรักษาด้วยธรรมชาติที่ดีที่สุดและยังมีประสิทธิภาพมากในการรักษาปัญหาผิวโดยปราศจากผลข้างเคียงใดๆ กับคุณ

ว่านหางจระเข้ เป็นส่วนผสมหลักในการแก้ไขปัญหานี้ เรารู้ดีว่าพืชชนิดนี้ให้ความชุ่มชื้นกับผิว และมันยังสามารถใช้รักษาปัญหาผิวต่างๆ ได้อย่างมากมายเพราะมันอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ อีกทั้งมันจะช่วยทำให้ผิวของคุณขาวใสอย่างเป็นธรรมชาติมากที่สุด

วิธีการใช้ว่านหางจระเข้ให้ผิวขาว

1.ว่านหางจระเข้กับน้ำตาล ร้านเสริมความงามทั่วไปนิยิมสครับผิวด้วยน้ำตาล เพื่อขัดเซลล์ผิวเก่าให้หลุดออกไปและเผยผิวใหม่ที่เรียบเนียนใสออกมา อย่างไรก็ตามมันก็ยังสร้างปัญหาให้กับผิวเพราะพวกมันมีสารเคมีปนปะอยู่ ข่าวดีก็คือคุณสามารถสครับผิวได้ด้วยตัวคุณเองทั้งหมดที่คุณต้องทำคือการผสมน้ำตาล 2 ช้อนโต๊ะกับเจลว่านหางจระเข้และนำมาทาบริเวณผิวที่มีปัญหา

2.ว่านหางจระเข้กับมะละกอ ผลิตภัณฑ์หลายชนิดจะมีเนื้อมะละกออยู่ในส่วนผสม เพราะมันมีคุณสมบัติช่วยทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ แต่อย่างที่เราได้กล่าวมาแล้วว่าผลิตภัณฑ์ที่วางขายอยู่ตามร้านค้ามักมีสารเคมีปะปนอยู่เป็นจำนวนมาก ดังนั้นคุณจึงควรทำมันด้วยตัวเอง เพียงคุณแค่นำเนื้อมะละกอมาผสมรวมกับเจลว่านหางจระเข้ และนำไปพอกทิ้งไว้บนใบหน้าประมาณครึ่งชั่วโมง และล้างออกให้สะอาด รับรองว่าผลลัพธ์ที่ออกมาจะสร้างความประหลาดใจให้กับคุณ

3.ว่านหางจระเข้ผสมกับน้ำผึ้ง เพื่อให้ผิวของคุณชุ่มชื้นและสว่างสดใส คุณควรผสมน้ำผึ้งและนมไปพร้อมกับเจลว่านหางจระเข้ ในส่วนผสมที่เท่ากัน จากนั้นนำมาทาไว้บนใบหน้าของคุณ พอกทิ้งไว้เป็นเวลา 20 นาทีแล้วล้างออก

4.ว่านหางจระเข้กับนม การนำว่านหางจระเข้กับนมมาผสมกัน และทาเป็นครีมบางๆ พอกทิ้งไว้บนใบหน้าของคุณ มันจะให้ผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย์กับคุณ

ตอนนี้คุณไม่จำเป็นต้องเสี่ยงกับการใช้ครีมที่มีวางขายตามท้องตลาดอีกต่อไป คุณสามารถใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติแทนได้และยังปราศจากสารพิษใดๆ อีกด้วย

อ้างอิง : allabouthealthylife.com แปลข้อมูลโดย : http://www.rak-sukapap.com/

ผิวขาวเกลี้ยงเนียน สาวๆห้ามพลาด แจกสูตรสบู่ครีมมะขาม ทำง่ายๆ


ผิวขาวเกลี้ยงเนียน สาวๆห้ามพลาด แจกสูตรสบู่ครีมมะขาม ทำง่ายๆ

ส่วนผสม

1. นมสด

2. น้ำผึ้ง

3. มะขามเปียก 2-3 ฝัก

วิธิทำ

1. เอามะขามเปียกมาประมาณ 2-3 ฝัก เอาใยออกให้หมด

2. เอามะขามเปียกไปคั้นน้ำอุ่น 2 ช้อน นมสด 6 ช้อน คั้นให้ข้น เสร็จแล้วกรองออกด้วยผ้าขาวบาง เติมน้ำผึ้งลงไปเล็กน้อย แล้วคนให้เข้ากัน

วิธีใช้

ใช้ครีมทาบางๆ ให้ทั่วใบหน้า หรือทั่วร่างกาย รอให้แห้ง แล้วล้างออกให้สะอาด

สรรพคุณ

ใช้ล้างหน้าแทนสบู่, ชำระสิ่งสกปรก, แก้ฝ้า ทำให้ใบหน้านุ่มนวล

หมายเหตุ

1. สัดส่วนของสูตรในการทำสบู่ครีมมะขาม สามารถ ปรับได้ตามความต้องการ และสภาพของผิว

2. การเก็บสบู่ครีมมะขามให้เก็บในตู้เย็น สำหรับบางคนที่ไม่มีตู้เย็นให้ใช้วิธีนึ่งเสียก่อน จะเก็บไว้ได้นานประมาณ 1 สัปดาห์

ที่มา... มูลนิธิสุขภาพไทย

สาวๆห้ามพลาด แจกสูตรสบู่ครีมมะขาม ทำง่ายๆ ผิวขาวเกลี้ยงเนียน


สาวๆห้ามพลาด แจกสูตรสบู่ครีมมะขาม ทำง่ายๆ ผิวขาวเกลี้ยงเนียน

ส่วนผสม

1. นมสด

2. น้ำผึ้ง

3. มะขามเปียก 2-3 ฝัก

วิธิทำ

1. เอามะขามเปียกมาประมาณ 2-3 ฝัก เอาใยออกให้หมด

2. เอามะขามเปียกไปคั้นน้ำอุ่น 2 ช้อน นมสด 6 ช้อน คั้นให้ข้น เสร็จแล้วกรองออกด้วยผ้าขาวบาง เติมน้ำผึ้งลงไปเล็กน้อย แล้วคนให้เข้ากัน

วิธีใช้

ใช้ครีมทาบางๆ ให้ทั่วใบหน้า หรือทั่วร่างกาย รอให้แห้ง แล้วล้างออกให้สะอาด

สรรพคุณ

ใช้ล้างหน้าแทนสบู่, ชำระสิ่งสกปรก, แก้ฝ้า ทำให้ใบหน้านุ่มนวล

หมายเหตุ

1. สัดส่วนของสูตรในการทำสบู่ครีมมะขาม สามารถ ปรับได้ตามความต้องการ และสภาพของผิว

2. การเก็บสบู่ครีมมะขามให้เก็บในตู้เย็น สำหรับบางคนที่ไม่มีตู้เย็นให้ใช้วิธีนึ่งเสียก่อน จะเก็บไว้ได้นานประมาณ 1 สัปดาห์

ที่มา... มูลนิธิสุขภาพไทย

วันอังคารที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

นี่คือสาเหตุของ เท้าเป็นเหน็บ แท้จริงแล้วมันเกิดจากอะไรมาหาคำตอบกันกัน


นี่คือสาเหตุของ เท้าเป็นเหน็บ แท้จริงแล้วมันเกิดจากอะไรมาหาคำตอบกันกัน

เคยมั้ยตอนเป็นเหน็บขยับเท้าทีนึงปวดไปถึงหัวใจ เรามาสาเหตุกันดีกว่าว่าอาการเป็นเหน็บที่เท้านั้นมันเกิดได้อย่างไร

เวลาเรานั้งพับขาเอาไว้นานๆเรามักจะเป็นเหน็บ ขาที่พับไว้ก็เหมือนกับถุงที่มีรอยหงิกงออยู่ข้างใน ทำให้โลหิตวิ่งผ่านไปได้อย่างช้าๆ ไม่สามารถวิ่งมาทำหน้าที่ได้รวดเร็วตามปกติ โลหิตมีหน้าที่อย่างหนึ่งคือ นำเอาของเสียและของที่คั่งค้างออกไปจากร่างกาย

เมื่อของเสียไม่สามารถจะถูกนำออกไปได้อย่างเคย มันก็จะมาขัดขว้างการทำงานของเส้นด้ายเล็กๆที่เรียกว่าเส้นประสาท ซึ่งมีหน้าที่นำเอาข่าวจากเท้าของเราส่งไปยังสมอง สมองจึงไม่สามารถจะบอกได้ว่าอะไรเกิดขึ้นทีเท้าของเรา ของเสียที่สะสมอยู่นั้นเป็นพิษแก่เส้นประสาท จึงทำให้เรารู้สึกคล้ายๆกับมีเข็มแทงอยู่ทีเท้าของเรานั้นเอง

คราวนี้สมมติว่าเรายืนขึ้น แรงกดที่ทำให้โลหิตวิ่งได้ช้าและขัดขว้างการส่งข่าวของเส้นประสาทก็จะหมดไป ในทันใดนั้นสมองก็จะได้รับข่าวจากเส้นประสาท อาการเป็นเหน็บนั้นก็จะหายไป

ที่มา...http://www.share-si.com/2015/03/blog-post_17.html

เผยสูตรกระเทียมน้ำผึ้ง ช่วยกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย ช่วยลดน้ำหนักได้อย่างดี


เผยสูตรกระเทียมน้ำผึ้ง ช่วยกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย ช่วยลดน้ำหนักได้อย่างดี

การบริโภคส่วนผสมนี้ไม่เพียงจะช่วยลดน้ำหนักให้กับคุณแต่มันยังช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและสามารถกำจัดสารพิษออกจากร่างกายของคุณได้อีกด้วย กระเทียมสดสามารถช่วยรักษาโรคได้อย่างมากมายแม้กระทั่งแพทย์ก็ยังแนะนำให้ใช้มัน เนื่องจากกระเทียมสามารถช่วยในการล้างพิษให้กับร่างกายและช่วยลดน้ำหนักได้อย่างดีเยี่ยม

และหากคุณสามารถกินกระเทียมสดๆ ได้จะดีมากกว่ากินกระเทียมที่นำไปปรุงสุกเพราะคุณจะได้รับสารอัลลิซิน (Allicin)

วิธีใช้กระเทียม :

-สับกระเทียมเป็นชิ้นเล็กและปล่อยทิ้งไว้อย่างน้อย 15 นาทีก่อนที่คุณจะกิน

-ใช้กระเทียมประมาณ 2-3 กลีบและผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ

การกินกระเทียมที่ดีที่สุดคือการกินในขณะท้องว่างเพราะมันจะง่ายต่อการดูดซึมสารอาหาร

กินส่วนผสมนี้ทุกวัน ครั้งแรกคุณอาจจะรับไม่ได้กับรสชาติของมันแต่หลังจาก 7 วัน คุณจะพบว่าน้ำหนักของคุณได้หายไปอย่างน่าประหลาดใจ!

อ้างอิง : yourhealthycupoftea.com แปลข้อมูลโดย : www.rak-sukapap.com

ลองดูนะ แค่ทำตามนี้มันจะช่วยกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย ช่วยลดน้ำหนักได้อย่างดีเยี่ยม


ลองดูนะ แค่ทำตามนี้มันจะช่วยกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย ช่วยลดน้ำหนักได้อย่างดีเยี่ยม

การบริโภคส่วนผสมนี้ไม่เพียงจะช่วยลดน้ำหนักให้กับคุณแต่มันยังช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและสามารถกำจัดสารพิษออกจากร่างกายของคุณได้อีกด้วย กระเทียมสดสามารถช่วยรักษาโรคได้อย่างมากมายแม้กระทั่งแพทย์ก็ยังแนะนำให้ใช้มัน เนื่องจากกระเทียมสามารถช่วยในการล้างพิษให้กับร่างกายและช่วยลดน้ำหนักได้อย่างดีเยี่ยม

และหากคุณสามารถกินกระเทียมสดๆ ได้จะดีมากกว่ากินกระเทียมที่นำไปปรุงสุกเพราะคุณจะได้รับสารอัลลิซิน (Allicin)

วิธีใช้กระเทียม :

-สับกระเทียมเป็นชิ้นเล็กและปล่อยทิ้งไว้อย่างน้อย 15 นาทีก่อนที่คุณจะกิน

-ใช้กระเทียมประมาณ 2-3 กลีบและผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ

การกินกระเทียมที่ดีที่สุดคือการกินในขณะท้องว่างเพราะมันจะง่ายต่อการดูดซึมสารอาหาร

กินส่วนผสมนี้ทุกวัน ครั้งแรกคุณอาจจะรับไม่ได้กับรสชาติของมันแต่หลังจาก 7 วัน คุณจะพบว่าน้ำหนักของคุณได้หายไปอย่างน่าประหลาดใจ!

อ้างอิง : yourhealthycupoftea.com แปลข้อมูลโดย : www.rak-sukapap.com

อยากหายปวดลองทำตามนี้เลย 14 วิธีแก้ปวดหลัง ฉบับทำเองได้ง่ายๆ


อยากหายปวดลองทำตามนี้เลย 14 วิธีแก้ปวดหลัง ฉบับทำเองได้ง่ายๆ

จากผลการสำรวจพบว่า คนทั่วไปถึง 80% ไม่ว่าจะช่วงอายุไหนก็ปวดหลังได้ มีตั้งแต่ปวดน้อยไปถึงปวดมาก มาหา วิธีแก้ปวดหลัง ฉบับทำเองได้ง่าย ๆ กันดีกว่า

1.ไปลงเรียนโยคะ อันที่จริงแล้วไม่ว่าจะเป็นกีฬาประเภทไหนที่เสริมความแข็งแกร่งให้ยืดหยุ่นให้กล้ามเนื้อลำตัวและกล้ามเนื้อส่วนหลัง ก็ช่วยลดอาการปวดหลังได้ทั้งนั้น จากการศึกษาในแคนาดาค้นพบว่า ผู้ป่วยที่มีอาการปวดหลังส่วนล่าง เมื่อได้เล่นโยคะหรือพิลาทีสติดต่อกันสัปดาห์ละ 4 ชั่วโมง ประมาณ 1 ปีขึ้นไป กล่าวว่ารู้สึกปวดหลังน้อยลงมาก ดีกว่าผู้ป่วยที่รักษาตัวตามแพทย์สั่งปกติ

2.กระเป๋าหนักไปไกลๆเลย ใช่แล้วล่ะ สะพายกระเป๋าหนักๆไว้บนไหล่เป็นประจำ ทำให้กล้ามเนื้อหลังของคุณทำงานหนักและเสียสมดุลได้ หากไม่เลือกพกของน้อยลงและสะพายกระเป๋าใบเล็กลงหน่อย ก็แบ่งสัมภาระไว้ในกระเป๋า 2 ใบ แล้วค่อยๆหิ้วโดยใช้แขนทั้งสองข้างละกัน

3.ลงทุนซื้อพรม รู้สึกสบายเท้าและหลังมากกว่ามั้ยเมื่อคุณเหยียบลงบนพรม แทนที่จะเป็นพื้นกระเบื้องแข็งๆ เย็นๆ เพราะการยืนอยู่บนพื้นแข็งๆ เป็นเวลานานๆ จะทำให้แผ่นหลังส่วนล่างหรือก้นกบทำงานหนักและโดนกดทับได้ ดังนั้นปูพรมหนานุ่มให้บริเวณที่คุณมักยืนนานๆ อย่างหน้าอ่างล้างหน้าเพื่อความรู้สึกสบายขึ้นในทันทีจะดีกว่า

4.ประคบเย็น ในช่วง 48 ชั่วโมงแรกหลังปวดหลัง ควรประคบด้วยถุงน้ำแข็ง ผ้าเย็นจัดๆ หรือถุงถั่วก็ได้ ทำวันละหลายๆ ครั้ง ครั้งละประมาณ 20 นาที การประคบ ณ จุดที่ปวดจะช่วยปิดเส้นเลือดที่บอบช้ำและลดการคั่งของเลือดในบริเวณนั้น จึงช่วยลดอาการบวมได้

5.เปลี่ยนเป็นประคบร้อน หลังจาก 48 ชั่วโมงไปแล้ว ใช้แผ่นความร้อนหรือถุงน้ำร้อนประคบหลังที่ปวดเป็นเวลา 20 นาที วันละหลายๆ ครั้งแทน เพราะความร้อนจะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ และกระตุ้นการไหลเวียนเลือด ช่วยเปิดให้ออกซิเจนเข้ามาช่วยเหลือตรงจุดที่ปวด แค่นี้ก็สบายหลังละ

6.ท่าบริหารหลัง แทนที่จะเกลียดกลัวการก้มลงแตะนิ้วเท้าอย่างสุดๆ ลองเลือกท่าบริหารกล้ามเนื้อหลังและต้นขาด้านหลัง ด้วยการตั้งส้นเท้าข้างหนึ่งไว้บนเก้าอี้ จากนั้นโน้มตัวมาด้านหน้า เหยียดแขนให้สุดแล้ววางมือลงเหนือเท้าประมาณ 15 เซนติเมตร จนคุณรู้สึกตึงที่ขาด้านหลังและก้นกบ คางไว้ประมาณ 5-10 วินาที ทำสลับข้างไปเรื่อยๆ แล้วจะรู้สึกดีขึ้นเอง

7.ปราณีร่างกายหน่อย รู้ไหมว่า อารมณ์เข้ามามีส่วนกับความเจ็บปวดได้มากทีเดียว ทั้งความเครียด ความกลัว และความวิตกกังวล จะยิ่งเข้าไปสั่งสมองให้รู้สึกปวดเมื่อยมากขึ้นไปอีก ดังนั้นพยายามคลายเครียดด้วยการหายใจเข้าลึกๆ และปล่อยออกยาวๆ ยอมรับกับความเจ็บปวดและปล่อยวางบ้าง

8.จัดท่าใหม่ ยอมรับหรือไม่ว่าคุณชอบนอนตะแคงแถมขดตัวอีก แก้ใหม่ด้วยการหาหมอนข้างมากอด วิธีนี้จะช่วยดันให้หลังของคุณตั้งตรง ส่วนคนที่ชอบนอนหงาย ก็สามารถป้องกันการกดทับหลังได้ด้วยการหาหมอนหรือหมอนข้างมารองใต้เข่าทั้ง 2 ข้าง แค่นี้ก็จะช่วยจัดกล้ามเนื้อหลังของคุณให้โค้งตามธรรมชาติ

9.พักขาบ้างนะ ขาเป็นเหมือนพาหนะของร่ายกายที่ต้องโลดแล่นตลอด ดังนั้นเมื่อคุณต้องทำกิจกรรมที่ต้องยืนนานๆ อย่างยืนล้างจาน ก็ควรพักขาสลับกันไปมาบ้าง วิธีนี้จะช่วยลดความตึงของกล้ามเนื้อ และลดน้ำหนักที่กดทับบริเวณหลังส่วนล่างได้

10.จองห้องนวด ถือเป็นข้ออ้างในการช่วยบำบัดหลังได้เลย หากคุณจะบอกทางบ้านว่า ขอเวลาไปสปานวดตัวอาทิตย์ละครั้งนะ เพราะมีการศึกษาพบว่า กลุ่มทดสอบที่ได้รับการนวดทุกอาทิตย์เป็นเวลาติดต่อกัน 10 อาทิตย์ มีอาการปวดหลังน้อยลง เทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้นวดเลย

11.ตรวจทิชชู่ รู้หรือไม่ว่า ไม่น้อยเลยที่เกิดอาการกล้ามเนื้อหลังอักเสบจากการเอี้ยวตัวผิดท่าในห้องน้ำ หาที่วางทิชชู่ให้ดีๆ พอทำกิจวัตรถ่ายเบาหรือหนักเสร็จแล้ว จะได้ไม่ต้องเผลอเอี้ยวตัวไปหยิบให้หลังเคล็ด

12.นั่งหลังตรง โซฟานุ่มๆ น่ะทำให้รู้สึกสบายและรีแลกซ์สุดๆ แต่รู้หรือไม่ว่ายิ่งนุ่ม หรือยิ่งไม่มีพนักคอยพยุงหลัง ยิ่งทำให้แผ่นหลังโดนกดทับมากขึ้นถึง 3 เท่า ดังนั้นคราวหน้าก่อนดูละครเรื่องโปรด อย่าลืมหาหมอนมารองหลัง พร้อมนั่งหลังตรง แผ่นเท้าติดพื้นทั้ง 2 ข้างด้วยล่ะ

13.ขับฉลาดขึ้น เพื่อการนั่งขับรถอย่างถูกวินัยขึ้น เพียงปรับระดับกระจกส่องหลังให้สูงขึ้นเล็กน้อย แค่นี้ก็ทำให้คุณยืดตัวยาวขึ้น และเมื่อยหลังน้อยลงแล้ว

14.เปลี่ยนเตียงดีมั้ย กลายเป็นว่าเตียงหนาแน่นไม่ดีต่อสุขภาพแล้วซะงั้น เพราะจากผลการสำรวจพบว่า กลุ่มคนที่นอนบนเตียงแบบแน่นมักมีอาการปวดหลังมากกว่าคนที่นอนบนเตียงสปริงนุ่มๆ อย่าลืมว่าคุณใช้เวลาวันละ 8 ชั่วโมงบนนั้นนะ ก็เทียบเท่ากับประมาณ 3,000 ชั่วโมงต่อปีทีเดียว คุ้มมากที่จะเลือกอย่างดี จริงมั้ยล่ะ

เครดิต: นิตยสาร lisa

ลองดูนะ แค่ทำตามนี้มันจะช่วยกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย ช่วยลดน้ำหนักได้อย่างดีเยี่ยม


ลองดูนะ แค่ทำตามนี้มันจะช่วยกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย ช่วยลดน้ำหนักได้อย่างดีเยี่ยม

การบริโภคส่วนผสมนี้ไม่เพียงจะช่วยลดน้ำหนักให้กับคุณแต่มันยังช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและสามารถกำจัดสารพิษออกจากร่างกายของคุณได้อีกด้วย กระเทียมสดสามารถช่วยรักษาโรคได้อย่างมากมายแม้กระทั่งแพทย์ก็ยังแนะนำให้ใช้มัน เนื่องจากกระเทียมสามารถช่วยในการล้างพิษให้กับร่างกายและช่วยลดน้ำหนักได้อย่างดีเยี่ยม

และหากคุณสามารถกินกระเทียมสดๆ ได้จะดีมากกว่ากินกระเทียมที่นำไปปรุงสุกเพราะคุณจะได้รับสารอัลลิซิน (Allicin)

วิธีใช้กระเทียม :

-สับกระเทียมเป็นชิ้นเล็กและปล่อยทิ้งไว้อย่างน้อย 15 นาทีก่อนที่คุณจะกิน

-ใช้กระเทียมประมาณ 2-3 กลีบและผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ

การกินกระเทียมที่ดีที่สุดคือการกินในขณะท้องว่างเพราะมันจะง่ายต่อการดูดซึมสารอาหาร

กินส่วนผสมนี้ทุกวัน ครั้งแรกคุณอาจจะรับไม่ได้กับรสชาติของมันแต่หลังจาก 7 วัน คุณจะพบว่าน้ำหนักของคุณได้หายไปอย่างน่าประหลาดใจ!

อ้างอิง : yourhealthycupoftea.com แปลข้อมูลโดย : www.rak-sukapap.com

ไปหามากิน 9 ประโยชน์ของขนุนที่เราไม่เคยรู้มาก่อน กินป้องกันมะเร็ง บำรุงประสาท และป้องกันภาวะโลหิตจางได้


ไปหามากิน 9 ประโยชน์ของขนุนที่เราไม่เคยรู้มาก่อน กินป้องกันมะเร็ง บำรุงประสาท และป้องกันภาวะโลหิตจางได้

ขนุน เป็นผลไม้กลิ่นแรงที่หลายคนไม่ค่อยโอเคกับผลไม้ชนิดนี้สักเท่าไร โดยที่หารู้ไม่ว่าถ้ามองข้ามกลิ่นขนุนไป เราจะพบกับประโยชน์ของขนุนอีกมากมายจนคาดไม่ถึง และขอใบ้ให้เลยว่า ประโยชน์ของขนุนทั้ง หมดนี้ โอ๊ย…มันเด็ดดวงที่สุดอะ !

ขนุน ผลไม้ในหลากหลายชื่อ… เริ่มจากขนุนในชื่อภาษาอังกฤษที่เขาเรียกกันว่า แจ๊คฟรุต (Jackfruit) หรือในภาษาเหนือที่เรียกขนุนว่าบะหนุน ส่วนขนุน ภาษาอีสานก็เอิ้นกันว่า บักมี่ ส่วนในชื่อทางวิทยาศาสตร์ของขนุนมีอยู่ว่า Artocarpus heterophyllus Lam.

ขนุนเป็นไม้ต้นขนาดใหญ่ สูงราว 15-30 เมตร เป็นต้นไม้มียางสีขาวคล้ายน้ำนม เมื่อตัดผลก็จะมีน้ำยางไหลออกมาเช่นกัน ตัวใบเป็นใบเดี่ยว ขนุนจะออกดอกปีละ 2 ครั้ง คือช่วงธันวาคม-มกราคม และช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม ซึ่งส่วนดอกนี่แหละที่จะเจริญเติบโตเป็นผลขนุนทรงกลมค่อนไปทางวงรี และผลจะมีหนามเล็ก ๆ โดยรอบ ส่วนข้างในผลก็จะมีเนื้อให้เราได้รับประทาน พร้อมทั้งประโยชน์ที่หาได้จากผลขนุนอีกอื้อเลย

นอกจากนี้ขนุนยังมีอีก 9 ประโยชน์เจ๋ง ๆ ที่ดูได้จากบรรทัดข้างล่างนี้ด้วยนะ

1. ป้องกันมะเร็ง น่าจะเห็นมาจากข้อมูลด้านบนแล้วว่าขนุนเป็นผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ อุดมไปด้วยไฟโตนิวเทรียนต์ ทั้งยังมีวิตามินซีสูง ขนุนจึงมีสรรพคุณช่วยป้องกันมะเร็งได้หลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งผิวหนัง และมะเร็งต่อมลูกหมาก เนื่องจากคุณค่าทางสารอาหารที่กล่าวมาจะช่วยปกป้องเซลล์ร่างกายจากการถูกทำลาย พร้อมทั้งช่วยซ่อมแซมเซลล์ในส่วนที่สึกหรอได้ด้วย

2. ป้องกันภาวะโลหิตจาง ขนุนมีทั้งธาตุเหล็กที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของเม็ดเลือด รวมทั้งยังมีแมกนีเซียม ธาตุที่มีความสำคัญต่อเม็ดเลือดขาวอยู่อีกต่างหาก ฉะนั้นคนที่มีความเสี่ยงจะเป็นโรคโลหิตจาง ธาตุอาหารดี ๆ ในขนุนเหล่านี้จะช่วยปกป้องสุขภาพของคุณให้ห่างไกลจากโรคนี้ได้

3. ลดความดันโลหิต อย่าลืมว่าขนุนเเป็นผลไม้ที่มีโพแทสเซียมค่อนข้างสูง จึงมีสรรพคุณช่วยลดความดันโลหิตได้ ซึ่งก็แปลว่าเมื่อความดันโลหิตอยู่ในจุดที่สมดุล อาการโรคหัวใจ หลอดเลือดอุดตัน หรือปัญหาที่เกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือดก็จะลดลงด้วยยังไงล่ะ

4. เสริมทัพระบบย่อยอาหาร ขนุนปริมาณ 100 กรัมมีไฟเบอร์ราว ๆ 3.6 กรัม ซึ่งนับว่ามีไฟเบอร์ค่อนข้างใช้ได้เลยล่ะ ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นปัญหาท้องผูก หรือระบบย่อยไม่ค่อยทำงาน ขนุนก็ช่วยจัดการให้ได้ ที่สำคัญขนุนยังช่วยป้องกันลำไส้แปดเปื้อน เมื่อร่างกายขับถ่ายสารก่อมะเร็งออกทางลำไส้ใหญ่ด้วยนะ กินขนุนอ้วนไหม

5. นอนไม่หลับ ขนุนช่วยได้ นอนไม่หลับลองกินขนุนช่วยให้นอนหลับได้ง่ายขึ้นดูสิ เพราะขนุนมีแมกนีเซียมและธาตุเหล็กที่จะช่วยสนับสนุนให้ฮอร์โมนเมลาโทนินทำงานได้อย่างเต็มที่ ส่งผลให้เรานอนหลับสบายขึ้นนั่นเอง

6. บำรุงสายตาและผิวพรรณ วิตามินเอที่มีอยู่ในขนุนคือพระเอกของประโยชน์ข้อนี้เองค่ะ โดยเจ้าวิตามินเอในขนุนจะช่วยบำรุงสายตาให้มองเห็นชัดเจน ป้องกันโรคต้อกระจก และโรคจอประสาทตาเสื่อม ส่วนสรรพคุณด้านบำรุงผิวก็เพราะมีสารต้านความเสื่อมของผิวพรรณ และช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดและริ้วรอยอีกด้วย

7. รักษาแผลพุพอง แผลเปื่อย ยารักษาแผลเปื่อยและแผลพุพองบางชนิดอาจมีผลข้างเคียง ทว่าขนุนไม่มีแน่ ๆ เพราะขนุนเป็นผลไม้มีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ต้านแบคทีเรียและไวรัส หนำซ้ำยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่จะช่วยปกป้องเซลล์ผิวหนังจากการถูกทำลายนั่นเอง

8. บำรุงกระดูก แคลเซียมดี ๆ ที่มีอยู่ในขนุนจะช่วยบำรุงดูแลกระดูกของเราได้ และหากอยากบำรุงกระดูกให้แข็งแรง ขนุนจัดเป็นผลไม้ที่อยู่ในเมนูแนะนำอันดับต้น ๆ เลยล่ะ เนื่องจากไม่เพียงแต่อุดมไปด้วยแคลเซียมเท่านั้น แต่ขนุนยังมีมิตรแท้ต่อแคลเซียมอย่างวิตามินซีและแมกนีเซียม ตัวช่วยสำคัญที่จะทำให้การดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกายเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น

9. บำรุงประสาท ความอ่อนเพลีย เหนื่อยล้า กล้ามเนื้ออ่อนแรง ภาวะแบบนี้ต้องจัดขนุนด่วน ๆ เพื่อให้วิตามินและสารอาหารสำคัญต่อระบบประสาทอย่างไทอามีน ไนอาซิน และเกลือแร่เข้าไปช่วยบู๊ทพลังการทำงานของระบบประสาทและสมอง

นอกจากนี้ขนุนยังมีสรรพคุณทางยาอีกมาก อย่างที่เกริ่นไปในช่วงแรกว่าขนุนมีประโยชน์แทบทุกส่วน ดังนั้นมาลองดูกันเลยว่าขนุนจะมีทีเด็ดจากตรงไหนอีกบ้าง กินขนุนอ้วนไหม

สรรพคุณทางยาของขนุน

ใบ มีรสฝาด ใช้บดโรยแผลมีหนองเรื้อรัง

ราก บำรุงโลหิต แก้กามโรค ขับพยาธิ ระงับประสาท แก้โรคลมชัก

ยาง มีรสฝาด แก้แผลอักเสบบวม แผลมีหนองเรื้อรัง แก้ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ

เนื้อหุ้มเมล็ดสุก บำรุงกำลัง บำรุงการทำงานของหัวใจ เป็นยาระบายอ่อน ๆ อีกทั้งยังนำไปหมักเหล้าได้

เนื้อในเมล็ด (จากเมล็ดขนุนต้ม) มีรสมัน บำรุงน้ำนม บำรุงกำลัง

เนื้อขนุนสุก เป็นยาระบายอ่อน ๆ

จากสรรพคุณทางยาดังกล่าว อาจตอบโจทย์คำถามสุดฮิตดังต่อไปนี้ได้ด้วย

ไม่ใช่น้อย ๆ เลยจริง ๆ กับประโยชน์และสรรพคุณทางยาของขนุน รู้อย่างนี้แล้วใครยังไม่เคยลิ้มลองขนุนเพราะเหม็นกลิ่นฉุน ๆ คงต้องคิดดูใหม่อีกทีแล้วล่ะเนอะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก… โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

วันจันทร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ลองดูนะ เผยสูตรน้ำซุปสุดอัศจรรย์ ดื่มช่วยละลายไขมันส่วนเกินได้


ลองดูนะ เผยสูตรน้ำซุปสุดอัศจรรย์ ดื่มช่วยละลายไขมันส่วนเกินได้

นี้คือซุปแสนอร่อยร้อนๆ ที่จะทำให้คุณรู้สึกอิ่มและยังช่วยละลายไขมันส่วนเกินในร่างกายของคุณได้ในทันที อีกทั้งยังดีมากสำหรับใช้ในการลดน้ำหนัก ซุปถ้วยนี้เต็มไปด้วยไฟเบอร์ เนื่องจากเครื่องเทศในซุปจะเข้าไปช่วยย่อยอาหารและกำจัดสารพิษรวมถึงละลายไขมันได้อีกด้วย นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมน้ำซุปถ้วยนี้จึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการลดน้ำหนักสำหรับคุณ

ส่วนผสมที่:

มันฝรั่งหนึ่งหัว

แครอท 3 หัว

คื่นฉ่าย 1 กำ

หัวหอมหนึ่งลูก

กระเทียม 1 กลีบ

เกลือทะเลนิดหน่อย

พริก 1/2 ช้อนชา

พริกไทย 1 ช้อนชา

พริกแดงเล็กน้อย

ใบเบย์ 1 ใบ

มะเขือเทศกระป๋อง 400 กรัม

ถั่วกระป๋อง 400 กรัม

ผักโขมหนึ่งกำมือ

น้ำมันมะกอก

วิธีทำ:

ใส่ส่วนผสมทั้งหมดยกเว้นผักขมและน้ำมันมะกอก ลงไปต้มด้วยความร้อนต่ำเมื่อผักในหม้อเริ่มสุกให้เพิ่มผักโขมลงไปและปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 2 นาที เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วก่อนเสริฟให้เติมน้ำมันมะกอกลงไปหนึ่งช้อนชา

ถ้าหากคุณชอบรับประทานซุปครีม ให้คุณใส่น้ำน้อยๆ ในการต้มส่วนผสมเมื่อผักสุกดีแล้วให้ตักส่วนผสมใส่ลงในเครื่องปั่นและปั่นจนเข้ากันดีเท่านี้ก็เรียบร้อย

ปลูกไว้ติดบ้านเลย มะม่วงหาวมะนาวโห่ สมุนไพรบ้านๆ แต่ใช้เป็นยาได้แทบจะทั้งต้น


ปลูกไว้ติดบ้านเลย มะม่วงหาวมะนาวโห่ สมุนไพรบ้านๆ แต่ใช้เป็นยาได้แทบจะทั้งต้น

มะม่วงหาวมะนาวโห่ มีสรรพคุณที่แสนจะเลิศล้ำ ตำรายาโบราณบันทึกไว้ว่าใช้เป็นยาได้แทบจะทั้งต้น (ผล เมล็ด ใบ เนื้อไม้หรือแก่นไม้ ราก น้ำยาง และเปลือกไม้ ใช้ได้หมดเลยค่ะ)

ผลมะม่วงหาวมะนาวโห่

1.ช่วยขับเสมหะ

2.รักษาโรคโลหิตจาง

3.รักษาโรคปอด

4.รักษาโรคถุงลมฟองโต

5.ช่วยขยายหลอดเลือด

5.ป้องกันการเกิดโรคหัวใจ

6.รักษาโรคเบาหวาน

7.ช่วยขับปัสสาวะ

8.รักษาโรคเกาต์

9.รักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน

10.บรรเทาอาการของโรคตับ

11.รักษาโรคไทรอยด์

12.รักษาโรคมือเท้าชา อัมพฤกษ์-อัมพาต

ใบหรือยอดอ่อน ยอดอ่อนมีสรรพคุณช่วยรักษาโรคริดสีดวง ส่วนใบใช้แก้อาการท้องร่วง โรคบิด แก้เจ็บคอ และอาการปวดหูค่ะ

เมล็ด

แก้กลากเกลื้อน รักษาตาปลา บำรุงกระดูกและไขข้อ

ราก

ใช้ขับพยาธิ แก้คัน แก้ไข้ ช่วยดับพิษร้อน บำรุงกระเพาะอาหาร

เนื้อไม้หรือแก่นไม้

มีสรรพคุณช่วยบำรุงธาตุ บำรุงกำลังวังชา

น้ำยาง

ช่วยรักษาหูด ช่วยสมานแผล แก้กลากเกลื้อน รักษาโรคเท้าช้าง

ที่มา : seewecare และ สมุนไพร108เพื่อสุขภาพ

วันอาทิตย์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ปลูกไว้บ้างก็ดี หลังจากอ่านบทความนี้จบ คุณจะกินตะลิงปลิงให้ได้ทุกวัน เพราะมันดีต่อสุขภาพ


ปลูกไว้บ้างก็ดี หลังจากอ่านบทความนี้จบ คุณจะกินตะลิงปลิงให้ได้ทุกวัน เพราะมันดีต่อสุขภาพ

ตะลิงปลิง เป็นผลไม้พื้นเมืองของประเทศฟิลิปปินส์ มันเป็นหนึ่งในผลไม้ที่คุณประโยชน์มากที่สุดในโลก ตะลิงปลิงหรือผลไม้รูปดาวนี้มีรสเปรี้ยวและเป็นแหล่งรวมของวิตามิน C และ B สารต้านอนุมูลอิสระ ฟอสฟอรัส และธาตุเหล็ก แม้ว่าตะลิงปลิงจะไม่ได้เป็นที่นิยมเท่าผลไม้เขตร้อนชนิดอื่น ๆ แต่รู้ไหมว่ามันมีคุณค่าทางโภชนาการสูงที่คุณสมควรกิน!

ประโยชน์ต่อสุขภาพของตะลิงปลิง :

1. รักษาอาการไอ ผสมตะลิงปลิงกับเม็ดยี่หร่าสักสองสามเม็ดและน้ำตาล ต้มทิ้งไว้ประมาณ 2 ชั่วโมง และแบ่งดื่มน้ำเป็นสองข่วงเวลาดื่มครึ่งหนึ่งก่อนอาหารเช้าและอีกครึ่งหนึ่งในช่วงเย็น

2. รักษาโรคเบาหวาน ตะลิงปลิงเหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน นำเมล็ดข้าวบด 6 เม็ดผสมกับตะลิงปลิงและน้ำหนึ่งแก้วจากนั้นนำไปต้มจนเดือด กินเครื่องดื่มนี้วันละ 2 ครั้ง

3. รักษาสิว ตะลิงปลิงมีสารที่เป็นกรดซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับรักษาสิว เพียงแค่ใช้ตะลิงปลิงบดทาบริเวณที่เป็นสิวทิ้งไว้ประมาณ 5 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำ

4. รักษาโรครูมาติซึม (rheumatism) ตะลิงปลิงสามารถรักษาอาการนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก เนื่องจากผลไม้ชนิดนี้มีสารที่เป็นกรดซึ่งสามารถช่วยรักษาอาการปวดข้อได้เป็นอย่างดี เพียงแค่พอกตะลิงปลิงบดลงในบริเวณที่ได้รับผลกระทบ

5. โรคไขข้ออักเสบ เพื่อบรรเทาอาการปวดไขข้อให้คุณนำใบตะลิงปลิงประมาณหนึ่งกำมือบดรวมกับเมล็ดข้าวพร้อมกับน้ำสักเล็กน้อยและนำไปพอกไว้บริเวณที่เจ็บปวดวันละ 2-3 ครั้งทุกวัน

6. รักษาโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ให้คุณนำใบตะลิงปลิงหนึ่งกำมือบดรวมกับกระเทียม 10 กลีบ พริกไทย 15 เม็ด และเมล็ดตะลิงปลิงหนึ่งเมล็ด นำส่วนผสมนี้พอกทิ้งไว้บริเวณกล้ามเนื้อที่ได้รับผลกระทบ

7. รักษาอาการปวดฟัน ใช้เพียงตะลิงปลิงบดในบริเวณฟันที่ปวด ตะลิงปลิงช่วยบรรเทาอาการปวดและให้ผลได้ดีกว่ายาแก้ปวดที่มีขายตามร้านขายยา

อ้างอิง : healthandhealthyliving.com แปลข้อมูลโดย : www.rak-sukapap.com

วันศุกร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

แนะนำให้อ่าน นี่คือสุดยอดวิธีรักษาโรคกรดไหลย้อน ด้วยสมุนไพรในบ้าน


แนะนำให้อ่าน นี่คือสุดยอดวิธีรักษาโรคกรดไหลย้อน ด้วยสมุนไพรในบ้าน

โรคกรดไหลย้อน หมายถึงภาวะที่กรดหรือน้ำย่อยในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมาในหลอดอาหาร ทำให้เกิดการอักเสบของหลอดอาหาร ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บแสบ แน่นหน้าอก รู้สึกมีก้อนอยู่ในคอ กลืนลำบาก หรือกลืนแล้วเจ็บ เจ็บคอหรือแสบลิ้นเรื้อรัง หากใครที่เป็นอยู่หรืเคยเป็นต้องรู้เลยว่ามันทรมาณขนาดไหน วันนี้เรามีเคล็ดลับดีๆ มาให้อ่าน เพื่อจะได้ป้องกันและบรรเทาอาการให้หายได้ ลองอ่านดูเลยค่ะ

การป้องกันโรคกรดไหลย้อน

โดยการรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้เกิดโรคกรดไหลย้อน

– งดการสูบบุหรี่

– หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ น้ำอัดลม ชา กาแฟ

– ลดอาหารมัน ของทอด ของหวาน

– รับประทานอาหารให้เป็นเวลา

– หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารก่อนนอนอย่างน้อย 3-4 ชั่วโมง

– ลดน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่พอดี

– ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

– หลับพักผ่อนให้เพียงพอ เข้านอนก่อน 22.00 น.และ นอนให้ได้ 6-8 ชม

วิธีการรักษา

1. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ป่วย

– ปฏิบัติเช่นเดียวกับการป้องกันตนจากโรคกรดไหลย้อน

– การรักษาโรคกรดไหลย้อนโดยการปรับเปลี่ยนนิสัยและการดำเนินชีวิตประจำวันมีความสำคัญมาก จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการน้อยลง ป้องกันไม่ให้เกิดอาการอีก

– การรักษาด้วยวิธีนี้ควรทำอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต แม้จะมีอาการดีขึ้นหรือหายดีแล้ว โดยไม่ต้องรับ

ประทานยาแล้วก็ตาม

2. การรักษาโดยใช้ยา

– ปัจจุบันยาลดกรดกลุ่ม proton pump inhibitor เป็นยาที่สามารถยับยั้งการหลั่งกรดได้ดี สามารถเห็นผลการรักษาเร็ว

– การรักษาด้วยยา ควรควบคู่ไปกับการปฏิบัติตัวให้ไม่เกิดอาการกรดไหลย้อนนั้น

– ควรรับประทานยาสม่ำเสมอตามแพทย์สั่ง และควรมาพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง

– เมื่ออาการต่างๆ ดีขึ้น แพทย์จะปรับลดขนาดยาลงเรื่อยๆ ทีละน้อย

– ที่สำคัญไม่ควรซื้อยารับประทานเองเวลาป่วย เนื่องจากยาบางชนิดจะทำให้กระเพาะอาหารมีการหลั่งกรดเพิ่มขึ้น หรือกล้ามเนื้อหูรูดของหลอดอาหารส่วนล่างคลายตัวมากขึ้น

3. การผ่าตัด

การผ่าตัดนี้จะทำในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง

– กรณีที่เข้ารับการรักษาโดยการใช้ยาอย่างเต็มที่แล้วไม่ดีขึ้น หรือไม่สามารถรับประทานยาที่ใช้ในการรักษาโรคนี้ได้ หรือผู้ป่วยที่ดีขึ้นหลังจากการใช้ยา แต่ไม่ต้องการที่จะกินยาต่อ

– มีรายงานว่าผู้ป่วยที่ต้องทำการผ่าตัดมีเพียงร้อยละ 10 เท่านั้น

– โดยแพทย์จะพิจารณาทำการรักษาด้วยการผ่าตัด ผูกหูรูดกระเพาะอาหาร

การรักษาด้วยน้ำกะเพรา

วิธีทำน้ำกะเพรา

1. นำกะเพรา 1 กำ (ทั้งลำต้นและใบ) ประมาณ 1 ขีด มาล้างให้สะอาดด้วยน้ำจุลินทรีย์ EM (แช่ 1 ช.ม.)หรือน้ำยาล้างผักเพื่อล้างยาฆ่าแมลงออก (ปัจจุบันนี้ พ.ศ. 2553 ผมปลูกต้นกะเพราขาวและต้นกะเพราแดงไว้ที่หน้าบ้านด้วยครับ)

2. ใส่น้ำ 2 – 3 ลิตรลงในหม้อ นำกะเพราใส่ลงไปทั้งหมด ทั้งลำต้นและใบ

3. ปิดฝาหม้อ ใช้ไฟปานกลางค่อนข้างอ่อน ต้มประมาณ 15 – 20 นาที พอน้ำเดือดปุ๊บให้ปิดแก๊สทันที หากใช้ไฟอ่อนเกินไป ฤทธิ์ยาในกะเพราจะไม่ออกมา ควรกะปริมาณไฟที่ต้ม ให้น้ำเดือดภายใน 15 – 20 นาที

4. ดื่มหลังอาหาร 1 แก้ว 250 ml

5. ถ้าน้ำกะเพราเย็นลง หรือ ดื่มไม่หมด ไม่ต้องอุ่นหรือต้มซ้ำ ให้แช่เย็นไว้ดื่ม เพื่อไว้ดื่มได้หลายๆวัน สำหรับคนธาตุเย็น แนะนำไม่ให้ ดื่มน้ำกะเพราเย็น แต่ควรตั้งน้ำกะเพราทิ้งไว้ให้เย็นก่อน แล้วค่อยดื่ม เพราะหลังรับประทานอาหาร ถ้าดื่มน้ำเย็นหรือทานของเย็นๆ จะท้องอืดอาหารไม่ย่อย

เคล็ดลับดีๆในการดูแลตนเองสำหรับผู้ที่มีอาการกรดไหลย้อน (ข้อมูลนี้ได้มาจากประสบการณ์ของผู้ป่วย)

1. รับประทานแต่อาหารที่มีประโยชน์ ไม่ทานลูกอมรสต่างๆ เช่น รสเปรี้ยว ที่ผสมสารสังเคราะห์

2. ไม่รับประทานอาหารที่มีรสเผ็ดและเปรี้ยว แม้เพียงเล็กน้อย (ข้อนี้สำคัญ)

3. ไม่รับประทานอาหารมัน เช่น กล้วยแขก มันทอด ปอเปี๊ยะทอด และของหมักดอง เช่น ผลไม้ดองต่างๆ(ข้อนี้สำคัญ)

4. ไม่ควรรับประทานอาหารรสหวาน ที่มีน้ำตาลปริมาณมาก เช่น ขนมหวาน, น้ำหวาน, น้ำอัดลม (ข้อนี้สำคัญ)

5. งดดื่มเหล้า และสูบบุหรี่ ชาและกาแฟก็ควรงด (ข้อนี้สำคัญ)

6. ไม่รับประทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์เป็นจำนวนมาก ควรทานเนื้อปลา หรือถั่ว (ข้อนี้สำคัญ)

7. ควรรับประทานผัก เน้นเป็นผักต้ม (ผักสดควรรับประทานแต่น้อย) เพื่อให้มีการขับถ่าย ไล่ลมออกจุลินทรีย์ได้ทำงาน (ข้อนี้สำคัญ)

8. ไม่ควรรับประทานผลไม้ประเภทย่อยยาก เช่น ฝรั่ง, มะม่วง

9. ควรทานผลไม้ประเภทย่อยง่าย และมีกากใยสูง และไม่มีน้ำตาล ผลไม้ที่แนะนำ เช่น ส้ม ชมพู่ แตงไทย แคนตาลูป และห้ามทานฝรั่ง แตงโม แก้วมังกร มะเขือเทศโดยเด็ดขาด 10. เคี้ยวอาหารให้ละเอียด ประมาณ 100-200 ครั้งต่อ 1 คำ หรือ 3 นาทีต่อ 1 คำ (ข้อนี้ช่วยได้มาก)

11. ไม่รับประทานอาหารจนเต็มกระเพาะอาหาร (ข้อนี้สำคัญเช่นกัน)

12. ใช้เวลารับประทานอาหารในแต่ละมื้อประมาณ ครึ่ง – หนึ่งชั่วโมง

13. หลังรับประทานอาหารเสร็จ ให้ดื่มน้ำเปล่าแต่น้อย หลังจากนั้นอีกประมาณ ครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมงให้ดื่มน้ำกะเพรา เพราะน้ำกะเพราจะช่วยขับลม และช่วยเร่งการย่อยอาหาร (ข้อนี้สำคัญ)

14. แกว่งแขนหลังรับประทานอาหารเสร็จในแต่ละมื้อ ช่วยให้กระเพาะอาหารและลำไส้มีการเคลื่อนไหว(ข้อนี้สำคัญมากๆเช่นกัน)

15. ตอนเย็นให้รับประทานอาหารย่อยง่ายๆเท่านั้น เช่น โจ๊ก, ข้าวต้ม (ข้อนี้สำคัญมากๆเช่นกัน)

16. ทานอาหารเสริมประเภทเพิ่มจุลินทรีย์ในลำไส้ ไม่ควรทานนมเปรี้ยวหรือโยเกริต์ เนื่องจากนมทำให้บางท่านท้องอืดได้

17. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เช่น วิ่งทุกเช้า หรือวิ่งในช่วงเย็น อย่างน้อย 2.0 – 3.0 กิโลเมตร หรือเดินในช่วงเย็น เพื่อให้ลำไส้มีการเคลื่อนไหว (ข้อนี้สำคัญ)

18. อดทนในเรื่องไม่ทานอาหารจุกจิก ไม่เป็นเวลา ไม่เป็นมื้อ สหายธรรมของผมที่เป็นคนสูงอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป ทุกคนรักษาโรคนี้ด้วยการทานอาหารเป็นมื้อทั้งหมดทุกคนครับ (ข้อนี้สำคัญเช่นกัน)

19. ท่องไว้ในใจเสมอว่า “การไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ” มีเงินทำไม ถ้าไม่ได้ใช้เงินให้เกิดประโยชน์

โรคกรดไหลย้อนนั้นอาจไม่สามารถรักษาให้หายสนิทได้ แต่เราสามารถควบคุมอาการให้ดีขึ้นได้ ด้วยการปรับพฤติกรรมที่ไม่ก่อให้เกิดกรดเกินในกระเพาะอาหาร ด้วยวิธีการต่างๆเหล่านี้ เชื่อว่าคุณนั้นสามารถรับมือกับโรคกรดไหลย้อนได้สบายมาก

ที่มา kaijeaw.com

ใครทำอยู่เลิกซะ สิ่งที่ไม่ควรทำก่อนนอน เพราะอาจมีอันตรายถึงชีวิตได้


ใครทำอยู่เลิกซะ สิ่งที่ไม่ควรทำก่อนนอน เพราะอาจมีอันตรายถึงชีวิตได้

เชื่อว่าหลายๆคนคงเป็นเหมือนๆกันอย่างแน่นอน สำหรับก่อนนอนที่มักจะต้องมีกิจกรรมอะไรมาทำก่อนนอน ไม่งั้นจะนอนไม่หลับ หรืออาจจะมีความจำเป็นที่จะต้องทำมันก่อนจะนอน ซึ่งบางพฤติกรรมก็ส่งผลต่อการนอนหลับ และส่งผลต่อสุขภาพร่างกายของเราด้วย วันนี้ไข่เจียวจะพาไปดู "สิ่งที่ไม่ควรทำก่อนนอน" เพราะนอกจากจะส่งผลต่อการนอนหลับแล้ว ยังอาจมีอันตรายต่อชีวิตอีกด้วย จะมีอะไรบ้าง ไปดูกันเลยค่ะ

1) ไม่ถอดนาฬิกาข้อมือก่อนนอน บางคนอาจจะลืมที่จะถอดเจ้านาฬิกาข้อมือก่อนจะนอน แต่รู้หรือไม่ว่า นาฬิกาข้อมือ ไม่ว่าจะขนาดไหนก็ส่งพลังงานด้วยกันทั้งสิ้น อาจจะรบกวนการนอนหลับของคุณได้

2) คุยโทรศัพท์มือถือจนหลับไป การคุยโทรศัพท์จนเผลอหลับไป หรือการวางเครื่องมือสื่อสารไว้ใกล้ตัว คลื่นของโทรศัพท์มือถือ นอกจากจะรวบกวนการนอนหลับแล้ว ยังทำลายสมองอีกด้วยนะ หากใครที่ชอบวางโทรศัพท์ไว้ใกล้ตัว หรือใช้เป็นนาฬิกาปลุก ลองเปลี่ยนไปใช้นาฬิกาปลุกจริงๆดีกว่า

3) ไม่ล้างเครื่องสำอางค์ก่อนนอน สาวๆหลายคนมักจะเป็น หากคุณไปเที่ยวมาดึกๆอาจจะขี้เกียจล้างเครื่องสำอาง แต่มันทำร้ายผิวในระยะยาว เพราะการคืนเป็นเวลาที่เราจะได้พักผิว

4) ดื่มน้ำก่อนนอนมากๆ อาจจะทำให้คุณปวดปัสสาวะตลอดคืน และถ้าใครขี้เกียจ อั้นปัสสาวะจนตื่น อาจเป็นอันตรายต่อร่างกายและมีอาการบวมน้ำได้ด้วย

5) นอนหลับในระหว่างวัน ไม่ควรทำอย่างยิ่ง ทางที่ดีควรนอนให้เต็มที่ในตอนกลางคืน และเข้านอนเวลาเดิมทุกครั้ง สมองจะได้ปิดง่ายๆ

6) อ่านหนังสือก่อนนอน มันอาจทำให้สมองต้องทำงานหนักก่อนนอน และตื่นตัวอยู่ตลอด นอนหลับยาก

7) ควรทานอาหารเย็นก่อนนอน 2-3 ชั่วโมง เพราะหากคุณทานอาหารเย็นแล้วรีบเร่งเข้านอน จะทำให้กระเพาะอาหารทำงานหนักในขณะที่คุณหลับ

8) ไม่ควรใส่ยกทรงนอน สำหรับสาวๆที่ชอบสวมใส่ยกทรงในเวลานอน ควรหยุดพฤติกรรมนี้โดยด่วน จากการวิจัยพบว่า การสวมใส่ยกทรงเกิน 12 ชั่วโมง จะเพิ่มอัตราเสี่ยงการเป็นมะเร็งทรวงอกได้

เห็นมั้ยละคะว่า เรื่องเล็กๆน้อยๆที่หลายคนทำจนติดนิสัย อาจจะสร้างอันตรายให้กับร่างกายของคุณได้ อย่าลืมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมกันนะจ๊ะ

ที่มา...kaijeaw.com

ไม่จำเป็นต้องเสียเงินแพงๆ แค่กินสิ่งนี้แค่ 7 วัน ความดันโลหิตของคุณลดลงอย่างน่าอัศจรรย์


ไม่จำเป็นต้องเสียเงินแพงๆ แค่กินสิ่งนี้แค่ 7 วัน ความดันโลหิตของคุณลดลงอย่างน่าอัศจรรย์

ไม่จำเป็นต้องเสียเงินเป็นจำนวนมากเพื่อซื้อยาลดคอเลสเตอรอลเพื่อรักษาความดันโลหิตสูง แค่คุณลองรักษาด้วยวิธีนี้เพียง 7 วัน!

นานมาแล้วชาวอามิชใช้วิธีนี้สำหรับการรักษาโรคต่างๆ

นี่คือวิธีรักษาที่มีประสิทธิภาพอย่างไม่น่าเชื่อมันสามารถกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของคุณ ลดความดันโลหิตและลดระดับคอเลสเตอรอลของคุณ

สิ่งที่คุณต้องทำคือการกินมันทุกวันเพียงหนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้นคุณจะพบกับผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย์ อีกทั้งมันจะเป็นอะไรที่หาง่ายและขั้นตอนการทำก็แสนง่ายอีกเช่นกัน

เพียงทำตามคำแนะนำด้านล่างนี้!

สูตรและส่วนผสม ขิง (ขูด) 1 ชิ้น

กระเทียม 2-3 กลีบ

น้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์ 1 ช้อนโต๊ะ

น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ

น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา

วิธีทำ:

ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในเครื่องปั่นและผสมจนเป็นเนื้อเดียวกันและใส่ไว้ในตู้เย็นเป็นเวลา 5 วัน

จากนั้นให้คุณกินส่วนผสมนี้ 1 ช้อนโต๊ะในตอนเช้าขณะท้องว่าง และกินอีก 1 ช้อนโต๊ะก่อนเข้านอน

เราขอแนะนำให้คุณกินส่วนผสมนี้เพียงวันละ 2 ครั้งเท่านั้น!

ภายในระยะเวลาสั้น ๆ คุณจะสังเกตเห็นผลลัพธ์ว่าความดันโลหิตของคุณลดลงอย่างน่าอัศจรรย์!

อ้างอิง : healthandhealthyliving.com แปลข้อมูลโดย : www.rak-sukapap.com

วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

บอกต่อกันไป สิ่งที่ไม่ควรทำก่อนนอน เพราะอาจมีอันตรายถึงชีวิต ใครทำอยู่ เลิกซะ!


บอกต่อกันไป สิ่งที่ไม่ควรทำก่อนนอน เพราะอาจมีอันตรายถึงชีวิต ใครทำอยู่ เลิกซะ!

เชื่อว่าหลายๆคนคงเป็นเหมือนๆกันอย่างแน่นอน สำหรับก่อนนอนที่มักจะต้องมีกิจกรรมอะไรมาทำก่อนนอน ไม่งั้นจะนอนไม่หลับ หรืออาจจะมีความจำเป็นที่จะต้องทำมันก่อนจะนอน ซึ่งบางพฤติกรรมก็ส่งผลต่อการนอนหลับ และส่งผลต่อสุขภาพร่างกายของเราด้วย วันนี้ไข่เจียวจะพาไปดู "สิ่งที่ไม่ควรทำก่อนนอน" เพราะนอกจากจะส่งผลต่อการนอนหลับแล้ว ยังอาจมีอันตรายต่อชีวิตอีกด้วย จะมีอะไรบ้าง ไปดูกันเลยค่ะ

1) ไม่ถอดนาฬิกาข้อมือก่อนนอน บางคนอาจจะลืมที่จะถอดเจ้านาฬิกาข้อมือก่อนจะนอน แต่รู้หรือไม่ว่า นาฬิกาข้อมือ ไม่ว่าจะขนาดไหนก็ส่งพลังงานด้วยกันทั้งสิ้น อาจจะรบกวนการนอนหลับของคุณได้

2) คุยโทรศัพท์มือถือจนหลับไป การคุยโทรศัพท์จนเผลอหลับไป หรือการวางเครื่องมือสื่อสารไว้ใกล้ตัว คลื่นของโทรศัพท์มือถือ นอกจากจะรวบกวนการนอนหลับแล้ว ยังทำลายสมองอีกด้วยนะ หากใครที่ชอบวางโทรศัพท์ไว้ใกล้ตัว หรือใช้เป็นนาฬิกาปลุก ลองเปลี่ยนไปใช้นาฬิกาปลุกจริงๆดีกว่า

3) ไม่ล้างเครื่องสำอางค์ก่อนนอน สาวๆหลายคนมักจะเป็น หากคุณไปเที่ยวมาดึกๆอาจจะขี้เกียจล้างเครื่องสำอาง แต่มันทำร้ายผิวในระยะยาว เพราะการคืนเป็นเวลาที่เราจะได้พักผิว

4) ดื่มน้ำก่อนนอนมากๆ อาจจะทำให้คุณปวดปัสสาวะตลอดคืน และถ้าใครขี้เกียจ อั้นปัสสาวะจนตื่น อาจเป็นอันตรายต่อร่างกายและมีอาการบวมน้ำได้ด้วย

5) นอนหลับในระหว่างวัน ไม่ควรทำอย่างยิ่ง ทางที่ดีควรนอนให้เต็มที่ในตอนกลางคืน และเข้านอนเวลาเดิมทุกครั้ง สมองจะได้ปิดง่ายๆ

6) อ่านหนังสือก่อนนอน มันอาจทำให้สมองต้องทำงานหนักก่อนนอน และตื่นตัวอยู่ตลอด นอนหลับยาก

7) ควรทานอาหารเย็นก่อนนอน 2-3 ชั่วโมง เพราะหากคุณทานอาหารเย็นแล้วรีบเร่งเข้านอน จะทำให้กระเพาะอาหารทำงานหนักในขณะที่คุณหลับ

8) ไม่ควรใส่ยกทรงนอน สำหรับสาวๆที่ชอบสวมใส่ยกทรงในเวลานอน ควรหยุดพฤติกรรมนี้โดยด่วน จากการวิจัยพบว่า การสวมใส่ยกทรงเกิน 12 ชั่วโมง จะเพิ่มอัตราเสี่ยงการเป็นมะเร็งทรวงอกได้

เห็นมั้ยละคะว่า เรื่องเล็กๆน้อยๆที่หลายคนทำจนติดนิสัย อาจจะสร้างอันตรายให้กับร่างกายของคุณได้ อย่าลืมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมกันนะจ๊ะ

ที่มา...kaijeaw.com

อย่าชะล่าใจ หมอเตือน โดนแมวข่วนให้รีบไปฉีดยา


อย่าชะล่าใจ หมอเตือน โดนแมวข่วนให้รีบไปฉีดยา

นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมควบคุมโรคกล่าวถึงกรณีมีข่าวผู้ป่วยชายไทย อายุ 63 ปี ถูกแมวข่วนแล้วไม่ได้ล้างทำความสะอาด ต่อมามีไข้ หนาวสั่นขาบวม มีบาดแผลเน่าลุกลามนั้น จากการตรวจสอบพบว่า ถูกแมวกัดที่ขาขวามา 1 สัปดาห์ก่อนมาโรงพยาบาล ซึ่งแพทย์ได้ผ่าตัด 2 ครั้ง เนื่องจากแผลลุกลามมากขึ้น พร้อมฉีดวัดซีนป้องกันบาดทะยัก วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า

พบว่าผู้ป่วยเป็นโรคเนื้อเน่าซึ่งเป็นโรคติดเชื้อที่ผิวหนัง และชั้นไขมันใต้ผิวหนังอย่างรุนแรง ส่วนใหญ่เกิดจากแผลเล็กๆ จึงไม่ได้สนใจทำความสะอาด เมื่อเชื้อโรคเข้าไปในแผลจะทำให้อักเสบลุกลามง่าย ซึ่งปัจจุบันผู้ป่วยรู้สึกตัวดีและไม่ถูกตัดขาตามที่มีข่าวลือ แต่อาจต้องผ่าตัดอีกหากมีเนื้อตายเพิ่ม หากแผลไม่มีเนื้อตายการติดเชื้อหายแล้วแพทย์จะทำศัลยกรรมปลูกถ่ายผิวหนังเพื่อปิดแผลต่อไป

ทั้งนี้ ผู้ป่วยไม่ได้รักษาในทันทีทำให้แผลลุกลามและอาจติดเชื้อพิษสุนัขบ้าจากแมวข่วนได้ หากถูกสุนัขแมวที่สงสัยเป็นโรคกัด ข่วน เลีย น้ำ ลายกระเด็นเข้าตา ปาก ผิวหนังมีแผล ให้ล้างแผล ทันทีด้วยน้ำ-ฟอกสบู่หลายๆ ครั้ง เช็ดแผลด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโพวีโดนไอโอดีน หรือแอลกอฮอล์ 70% หรือทิงเจอร์ และไปโรงพยาบาลทันที

แหล่งที่มา...kaijeaw.com

แนะวิธีบอกลาหน้าแก่เพื่อผิวหน้าสวย ไร้รอยเหี่ยวย่น ได้ง่ายๆ ด้วยกล้วยสุก


แนะวิธีบอกลาหน้าแก่เพื่อผิวหน้าสวย ไร้รอยเหี่ยวย่น ได้ง่ายๆ ด้วยกล้วยสุก

กล้วย มีสารเมือกเพิ่มความชุ่มชื้น ทั้งยังมีวิตามิน เกลือแร่ โปรตีนอีกหลายชนิดที่มีประโยชน์ต่อผิวหนังในการเพิ่มความชุ่มชื่้น ป้องกันผิวจากอนุมูลอิสระ ลบรอยเหี่ยวย่น รักษาแผล

การเตรียมกล้วย

พยายามล้างกล้วยสุกให้สะอาด ใช้ส่วนที่เป็นเนื้อกล้วยบดหรือปั่น

วิธีการใช้

วิธีที่ 1 ใช้กล้วยน้ำว้าสุก 1 ผล น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา สำหรับคนผิวแห้ง หรือน้ำส้ม หรือน้ำมะนาว 1 ช้อนชา สำหรับคนผิวมัน ปั่นแล้วผสมให้เข้ากันจนละเอียดพอกให้ทั่วหน้า รวมทั้งลำคอทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที จะทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้น เรียบลื่น เต่งตึง ลบรอยเหี่ยวย่น

วิธีที่ 2 ใช้กล้วยน้ำว้าสุก 1 ผล ผสมน้ำมันมะกอก 1 ช้อนชา นำมาปั่นผสมให้เข้ากัน พอกหน้าจนถึงลำคอ ทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที แล้วจึงล้างออกเหมาะกับคนผิวหน้าแห้ง จะทำให้ใบหน้าชุ่มชื้น เต่งตึง ลบรอยเหี่ยวย่น

วิธีที่ 3 ใช้กล้วยน้ำว้าสุกปอกเปลือก บดให้เหลว แล้วทาให้ทั่วบริเวณผิวหน้าทิ้งไว้สักพักแล้วล้างออก จะช่วยให้ผิวหน้าสะอาดนุ่ม ชุ่มชื้น

บทความจาก เพจมูลนิธิหมอชาวบ้าน

8 ข้อด้านล่างนี้ตอบคุณได้ รู้มั้ยว่าควรสระผมตอนเช้าหรือเย็นถึงจะดี


8 ข้อด้านล่างนี้ตอบคุณได้ รู้มั้ยว่าควรสระผมตอนเช้าหรือเย็นถึงจะดี

ช่วงกลางวันทำงานยุ่งๆ คนส่วนใหญ่จึงชอบสระผมตอนกลางคืนหรือตอนรุ่งเช้าก่อนออกไปทำงาน งั้นควรสระผมตอนเช้าดี หรือตอนกลางคืนดีล่ะ ? การสระผมใช่ว่าจะสระแบบขอไปทีก็ได้นะ! วันนี้จะมาแบ่งปันข้อมูลสำคัญในการสระผม 8 ข้อด้านล่าง ตั้งใจอ่านดีดีล่ะ!

1. เวลาที่ดีที่สุดในการสระผมคือตอนสามทุ่ม เพราะเวลาสี่ทุ่มถึงตีสอง เป็นช่วงการฟื้นฟูของเซลล์หนังศีรษะ ดังนั้นตั้งแต่เวลาบ่ายโมงถึงสี่ทุ่มจะเป็นช่วงที่เหมาะสมในการสระผม ในขณะที่ช่วงที่ไม่เหมาะที่สุดสำหรับการสระผมก็คือ หลังจากสี่ทุ่มถึงกลางวัน เพราะเป็นช่วงการผ่อนคลายของหนังศีรษะและไม่ควรได้รับการกระตุ้น

2. เป่าผมให้แห้งก่อนค่อยนอน การนอนหลับโดยที่ผมยังเปียกอยู่อันตรายมาก เช่น อาจเป็นหวัดได้ง่าย หนังกำพร้าได้รับความเสียหายง่าย ผมร่วงมากขึ้น ผมเสียง่าย เป็นต้น

3. อย่าหวีผมที่ยังเปียกอยู่ เพิ่งสระผมเสร็จ หนังกำพร้ายังคงอยู่เปิดอยู่ หากในเวลานี้หวีผมหลายๆครั้ง จะทำให้หนังกำพร้าได้รับความเสียหาย และทำให้ผมกรอบแห้งมากหลังจากผมไม่เปียกแล้ว

4. อย่าใช้เล็บเกาหนังศรีษะ การใช้เล็บเกาหนังศีรษะ อาจก่อให้เกิดอันตรายแก่หนังศรีษะ วิธีที่ถูกต้องคือการใช้นิ้วกดนวดที่หนังศีรษะเบา ๆ

5. ไม่ควรเทแชมพูลงบนศรีษะโดยตรง ควรเทแชมพูในมือของคุณก่อน แล้วถูอย่างสม่ำเสมอค่อยสระผม หากเทลงบนหนังศีรษะโดยตรงอาจทำให้เกิดสารเคมีตกค้างและทำความสะอาดได้ไม่ดีเท่าที่ควร (ไม่ทำให้เกิดฟอง)

6. อุณหภูมิน้ำควรอยู่ที่ประมาน 40 องศา ใช้น้ำเย็นสระผมทำให้หนังศีรษะถูกกระตุ้นมากที่สุด ซึ่งอาจทำให้เกิดการสูญเสียเส้นผมได้! น้ำที่ร้อนเกินไปก็อาจทำความเสียหายต่อรูขุมขนได้เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น อุณหภูมิน้ำที่ดีที่สุด คือ ประมาณ 40 องศา ร้อนกว่าอุณหภูมิของร่างกายเล็กน้อย

7. ไม่ควรสระผมบ่อยเกินไป เพราะการสระผมทำให้หนังกำพร้าเปิด กระบวนการที่หนังกำพร้าเปิดและปิดย่อมมีการสูญเสียบางอย่างไปดังนั้น การสระผมทุกวันไม่ได้ส่งผลดีต่อเส้นผม แต่บางคนที่ผมมันมากๆ ก็สามารถสระผมทุกวันได้ เพราะการรักษาความสะอาดสำคัญกว่า

8. เวลาสระผม ควรก้มศรีษะลงต่ำเล็กน้อย เวลาใช้แชมพู คนจำนวนมากมักยืนสระ ความแรงของน้ำจะกระทบด้านบนของศรีษะและอาจเป็นสาเหตุให้ผมตรงส่วนนั้นหลุดร่วงมากกว่าตำแหน่งอื่น วิธีที่ดีที่สุด คือ การก้มหัวลงสามารถลดแรงกระแทกของน้ำ และยังช่วยส่งเสริมการไหลเวียนเลือดบนศรีษะได้ด้วย

เส้นผมที่สวยงามต้องคอยบำรุงรักษา ทุกคนต้องใส่ใจ การสระผมก็ต้องใช้ทักษะเหมือนกัน!

ข้อมูลจาก liekr

วันพุธที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ทำนายเบอร์แม่นมาก วิธีคำนวณหาเบอร์ดี เบอร์คุณมีความหมายอย่างไรมาดูกัน


ทำนายเบอร์แม่นมาก วิธีคำนวณหาเบอร์ดี เบอร์คุณมีความหมายอย่างไรมาดูกัน

ทำนายเบอร์ตามหลักโหราศาตร์ไทย วิธีคำนวณหาเบอร์ดี โดยการทำนายจากหมายเลขโทรศัพท์มือถือ โดยจะใช้หลักที่ 7 ของหมายเลขโทรศัพท์มือถือกันนะคะ ไม่ว่าค่ายไหนก็สามารถนำมาทำนายได้ค่ะ ตัวอย่างหมายเลขโทรศัพท์ 089-123-4567 หลักที่ 7 คือ 4 เสร็จแล้วมาดูผลการทำนายกันดีกว่าค่ะ

เลข 0 ปากไม่ตรงกับใจ ทำนายว่า ตุ๊กตาล้มลุก ล้มแล้วลุกไม่มีวันจน ความรักเป็นประเภทหนุ่มห้าว สาวแกร่ง บางทีที่เธอแสดงเลยไม่ค่อยตรงกับใจ ทั้งๆ ที่สนใจเขา แต่แสดงออกซะตรงกันข้าม เรื่องอื่นนะเก่งเชียวนะ แต่เรื่องความรักนี้ …เฮ้อ!!

เลข 1 ชอบเอาชนะกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ทำนายว่า เป็นที่หนึ่งไม่เป็นรองใคร ความรักประเภทชอบจะเอาชนะคะคานกัน ยิ่งถ้ารักกันต้องรู้จักให้อภัยกัน งอนไร้เหตุผล

เลข 2 ติดหวานใจเป็นตังเม ทำนายว่า อยู่เป็นคู่ไม่พลัดพราก เหมือนตะขอ ไว้เกี่ยวทรัพย์ ความรักเป็นประเภทอยากอยู่กับแฟนก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดีนะ แต่ถ้าตัวติดกันเป็นตังเมแทบแยกไม่ออกเห็นหวานใจที่ไหนเห็นเธอที่นั่น อีกสักพักอาจทำให้เขารู้สึกอึดอัดได้นะจ๊ะ

เลข 3 อ่อนไหวง่าย ดั่งสายลม ทำนายว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ไตรสาม พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ความรักประเภทใครโดนใจไม่ได้ อ่อนไหวดั่งสายลมทุกทีเลย ทั้งๆ ที่เธอมีแฟนอยู่แล้วแต่ถ้าเห็นคนใหม่ในสเป็คผ่านมา จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยนะ ระวังหวานใจเธอทำบ้าง

เลข 4 เก็บความรู้สึกไว้ลึกเกินไป (ใครๆ ก็ดูไม่ออก) ทำนายว่า เลขจักพรรดิ์จิ๋นซี หรือ ซี้ย่ำปึก เพื่อน ๆ รักใคร่ มิตรสหายจริงใจ ความรักประเภทอาการเธอหนักนะเนี่ย ไม่รู้ว่า เธอไม่กล้า หรืออาจที่จะต้องเอ่ยความรู้สึกดีๆ นั้นออกมากันแน่ แต่เพราะเหตุผลอะไรก็ตามแต่ อาจทำให้เกิดความไม่เข้าใจกันได้นะ

เลข 5 ชอบหว่านเสน่ห์ เลยมักทำให้ใครต่อใครเข้าใจผิด ทำนายว่า เลขห้าค้าขายรุ่งเรือง เป็นกลาง ยุติธรรมดูเหมือนน่าจะดีนะ แต่จริงๆ มันเป็นจุดอ่อนเรื่องความรักต่างหาก ไม่รู้ว่าเธอต้องการเช็กความน่ารัก หรือเพราะเหงา แต่สิ่งที่เธอทำอยู่ มันอาจทำให้คนเข้าใจผิดในตัวเธอได้นะ

เลข 6 เทคแคร์คนอื่นมากเกินไปหรือเปล่านะ ทำนายว่า หยินหยาง 69 ชายหญิง ความรักราบรื่น เติมเต็ม สมบูรณ์พูลสุข ความรักประเภทคนอื่นที่ว่านะ หมายถึงคนที่ไม่ใช่หวานใจตัวจริงของเธอ แต่เป็นคนแวดล้อมหวานใจ ซึ่งอาจทำให้เขางอนตุ๊บป่องได้ เธออาจจะไม่ได้คิดอะไรแต่เขาคิดไปไกลแล้ว

เลข 7 ไม่ค่อยแคร์ใครดูเฉยชาเกินไป ทำนายว่า วันทั้งเจ็ด ดีทุกวัน ความรักประเภท ถ้าเป็นเพื่อนไม่ดูแล เพื่อนยังงอนเลย แล้วยิ่งถ้าเป็นหวานใจล่ะ เธอชอบปล่อยเค้าอยู่คนเดียว ไม่ค่อยดูแลเอาใจใส่เค้าที่ควร เฉยชาเกินไปหรือเปล่าจ๊ะ

เลข 8 เบื่อง่าย และรำคาญง่ายเกินไป ทำนายว่า โป๊ยเซียนเทพเจ้า 8 องค์ เหมือนอินฟินิตี้ รวยไม่มีที่สิ้นสุด ความรัก อะไรนิด อะไรหน่อย ก็ไม่ได้ เธอจะหงุดหงิดขึ้นมาทันที แต่เธอจะเป็นเฉพาะเรื่องความรักนะ ถ้าหวานใจทำอะไรไม่ถูกตานิดเดียว ต้องเกิดอาการเบื่อจนอีกฝ่ายอึ้งไปเลย

เลข 9 ชอบจับปลาหลายมือ ทำนายว่า ก้าวหน้ารุ่งเรือง ความรักเธอพยายามทำหลายๆ อย่างในเวลาเดียวกัน เวลาคบใครก็ดูไว้หลายๆ คน จริงๆ มันก็ไม่ผิดนะ แต่เธออาจทำให้คนที่เค้าดี และจริงใจกับเธอเสียใจกับสิ่งที่เธอก่อได้นะจ๊ะ

ที่มา Forward Mail

สาวๆควรอ่าน คุณคิดว่าความเหงาตอนโสด กับ มีคู่แต่รู้สึกเหงา อะไรน่ากลัวกว่ากัน?


สาวๆควรอ่าน คุณคิดว่าความเหงาตอนโสด กับ มีคู่แต่รู้สึกเหงา อะไรน่ากลัวกว่ากัน?

การที่หญิงสาวจะได้พบกับผู้ชายดีๆคนหนึ่ง ไม่จำเป็นที่เธอจะต้องมีความเป็นผู้ใหญ่เพียงพอ เพราะเมื่อใดที่ผู้หญิงมีความเป็นผู้ใหญ่ พอที่จะพึ่งพาตัวเองได้ เมื่อนั้นก็แปลว่า…

"เธอไม่เคยพบเจอกับผู้ชายดีๆเลยแม้แต่คนเดียว"

เธอจงจดจำไว้ การเลือกชีวิตคู่นั้นไม่มีเงื่อนไขอื่นใด นอกเสียจากเลือก "คนที่เขารักเธอ" ไม่ว่าเขาจะมีเงินมากมายเท่าใด ? ชอบช่วยเหลือคนอื่นสักแค่ไหน? จะมีความสามารถเพียงใด ? จะฉลาดสักเท่าใด ? จะกตัญญูอย่างไร ? จะหล่อปานไหน ? จะพูดเก่งยังไง ?

เขาไม่รักเธอ จะมีประโยชน์อันใด!!!

จิตแพทย์ได้กล่าวไว้ว่า… “ต่อให้เธอรักผู้ชายคนนั้นสักแค่ไหน จุดเริ่มต้นของความรักเริ่มจากผู้ชาย หากชายคนนั้นไม่ได้รักเธอ เสียเขาไปคือความคุ้มค่ากว่าเสียอีก”

ไม่มีคู่อาจเงียบเหงาบ้าง แต่สามารถมีความสุขได้ เธอสามารถเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วโลกได้เพียงลำพัง เธอสามารถพูดคุยกับผู้ชายได้ทุกเพศวัยอย่างสบายใจ เธอสามารถเลือกกลับบ้านหรือไปเดินห้าง หลังจากเลิกงานได้ด้วยตัวเธอเอง

ความเหงาตอนโสดไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เธอคิด ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ… เมื่อมีคู่ชีวิตแต่เธอกลับรู้สึกเหงาต่างหาก!

คุณพ่อท่านหนึ่งได้เตือนสติลูกสาวของเขาว่า…

“คนบางคนเหมาะสมกับลูก แต่เขาไม่รักลูก คนบางคนรักลูกแต่เขาไม่เหมาะสม หากอยากจะรู้ว่าเขารักลูกหรือเปล่า? อย่าใช้หูฟังแต่จงใช้ตามอง ดูว่าเขาทุมเทต่อลูกสักเพียงใด ? หากอยากรู้ว่าเหมาะสมกันหรือเปล่า ? อย่าตัดสินว่าเพราะเขามีอะไร? แต่จงตัดสินจากรอยยิ้มของลูกและน้ำตาที่ต้องหลั่งไปเพราะเขา

คนที่ทำให้ลูกร้องไห้อยู่เสมอ ต่อให้เพียบพร้อมสักแค่ไหนก็อย่าเลือกฝากชีวิตไว้ คนที่ทำให้ลูกยิ้มได้ ต่อให้ฐานะยากจนเพียงใด ก็คุ้มค่าที่จะฝากชีวิตไว้

จงเลือกเหนื่อยเพราะหัวเราะ อย่าเลือกสบายแต่ต้องร้องไห้ทุกวัน”

เลือกคนที่กล้าเก็บรูปของเธอไว้ในกระเป๋าสตางค์ เลือกคนที่กล้าลงรูปเธอไว้หน้าไทม์ไลน์ของเขา เลือกคนที่กล้าให้เธอรู้ความเคลื่อนไหวของเขา เลือกคนที่เขากล้าทุ่มเทความรักให้กับเธอ

หากการคบหากัน เขาคนนั้นไม่ได้ทำให้เธอดูดีขึ้นในสายตาคนอื่น ขอแสดงความเสียใจด้วย "เธอเลือกคนผิดเสียแล้ว!" เพราะหากเขารักเธอจริง เขาจะไม่ทำให้ผู้หญิงของเขาดูแย่ในสายตาของใครๆ

ผู้ชายบางคนที่รักเธอ เขาต้องการใช้ชีวิตกับเธอทั้งชีวิต ผู้ชายบางคนที่รักเธอเขาต้องการใช้ชีวิตกับเธอเพียงชั่วครู่

คนที่ต้องการใช้ชีวิตกับเธอทั้งชีวิตเขาอาจไม่ได้ซื้อข้าวของ หรือบอกรักเธอทุกๆวัน เพราะเขาพยายามสร้างตัวเพื่อเธอและครอบครัว

คนที่ต้องการใช้ชีวิตกับเธอเพียงชั่วครู่ เขาจะประเคนทุกสิ่งอย่างให้กับเธอ เสมือนว่า "ขาดเธอแล้วเขาจะขาดใจ" (ซึ่งจริงๆไม่มีใครตายเพราะความรัก มีแต่ตายเพราะความหลงและโง่งมงาย)

ดังนั้น "ผู้ชายดีๆจะคิดถึงการร่วมชีวิต" "ผู้ชายเลวๆจะคิดถึงการร่วมหลับนอน"

หญิงสาวเอ๋ย เธอรักตัวเองมากเท่าไหร่ เธอก็มีค่าต่อตนเองและผู้อื่นมากเท่านั้น อย่าเอาอกเอาใจใครๆ จนลืมห่วงใยตัวเอง ชีพหนึ่งไม่ยาวนาน… เธอจงจำไว้ "รักตัวเองให้มากหน่อย!!!"

ขอขอบคุณเนื้อหาจาก : นุสนธิ์บุคส์

สาวๆลองดู เผยสูตรกำจัดฝ้ากระและจุดด่างดำ ด้วยวิธีธรรมชาติ


สาวๆลองดู เผยสูตรกำจัดฝ้ากระและจุดด่างดำ ด้วยวิธีธรรมชาติ

ปัจจุบันผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ มีราคาไม่น้อยเลยเมื่อเราต้องนำสิ่งเหล่านั้นมาใช้เพื่อดูแลร่างกายของเรา ในขณะที่คุณสามารถทำได้ด้วยตัวเอง จากวัตถุดิบทางธรรมชาติอย่างมะนาวและผักชีฝรั่งที่หาได้ทั่วไปง่ายๆ คุณจะได้เห็นความพิเศษของผักชีฝรั่งที่จะช่วยคุณกำจัดฝ้า กระ สิว ของคุณได้เป็นอย่างดี

ผิวหน้า ทุกคนต่างรู้ดีว่าสำคัญอย่างไร การที่จะมีรอยของฝ้า กระ สิว หรือรอยจุดด่างดำต่างๆ มันส่งผลต่อสภาพจิตใจของเราทั้งนั้น เราจึงได้นำเสนอวิธีการทาง ธรรมชาติที่ช่วยแก้ปัญหาส่วนนี้ของคุณได้อย่างแน่นอน

ส่วนผสม

น้ำมะนาว 1 ลิตร

ผักชีฝรั่งสด 2 ช้อนโต๊ะ

น้ำกลั่น 150 มิลลิลิตร

แอลกอฮอล์ (70 %) 50 มิลลิลิตร

เริ่มต้นโดยการสับผักชีฝรั่งให้ละเอียด แล้วนำไปใส่รวมไว้ในน้ำกลั่นและแอลกอฮอล์ คนให้เข้ากัน เสร็จแล้วปล่อยทิ้งไว้ 1 คืน รุ่งเช้าวันต่อมา นำน้ำมะนาวใส่เข้าไป ในส่วนผสมนั้น

แล้วนำมาใส่ขวดที่ผ่านการฆ่าเชื้อมาแล้ว นำไปเก็บไว้ในที่มืดและแห้งเป็นขั้นตอนสุดท้าย แล้วจึงนำไปทาผิวหน้าและมือ แค่นี้ก็จะทำให้คุณได้เห็นถึง ความแตกต่างอย่างแน่นอน

ที่มา www.share-si.com/2016/07/100_27.html

บอกต่อกันไป ด้วยส่วนผสมนี้จะสามารถลดอาการปวดที่รุนแรงในข้อต่อของคุณได้


บอกต่อกันไป ด้วยส่วนผสมนี้จะสามารถลดอาการปวดที่รุนแรงในข้อต่อของคุณได้

มะนาว แสดงให้เห็นแล้วว่ามีฤทธิ์ที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรงอีกทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาความเจ็บป่วยได้อย่างมากมาย เช่น ไข้หวัด การติดเชื้อ เป็นต้น

ผลไม้ชนิดนี้อยู่ในกลุ่มของอาหารที่เป็นด่างทำหน้าที่เป็นยาขับปัสสาวะและสามารถล้างพิษได้เป็นอย่างดี ในปัจจุบันมีคนเป็นจำนวนมากรู้ถึงประโยชน์ของมะนาว

แต่ส่วนใหญ่พวกเขาอาจยังไม่ทราบว่าเปลือกของมะนาวมีคุณสมบัติที่ดีมากมันมีประโยชน์และมีคุณค่าทางโภชนาการต่อร่างกาย หากคุณรู้วิธีใช้คุณจะได้ประโยชน์อย่างมหาศาลจากเปลือกมะนาวสำหรับร่างกายของคุณ

เรียนรู้การใช้เปลือกมะนาวเพื่อได้รับสารอาหารทั้งหมดของมัน

เปลือกมะนาวช่วยจัดการกับความเจ็บปวดได้โดยการใช้ร่วมกับน้ำมันมะกอกและใบยูคาลิปตัส และวิธีรักษานี้ยังสามารถช่วยจัดการกับโรคหอบหืดที่มีอาการรุนแรงได้ในระยะเวลาที่สั้นมาก

สำหรับสิ่งที่คุณต้องเตรียมคือ น้ำมันมะกอกหนึ่งถ้วย (ประมาณ 200 มล) มะนาวลูกใหญ่ 2 ลูก ใบยูคาประมาณ 5 ใบ ผ้าพันแผล แผ่นฟิล์มหรือพลาสติก และแก้วที่มีฝาปิด

วิธีทำง่ายมาก

ปอกเปลือกมะนาวและใส่เปลือกลงในแก้ว ตามด้วยใส่น้ำมันมะกอกและใบยูคาลงไปจากนั้นเอาฝาแก้วปิดให้สนิททิ้งไว้เป็นเวลา 2 สัปดาห์

เมื่อครบกำหนดแล้วก่อนเข้านอนให้คุณนำส่วนผสมในแก้วมาวางไว้ห่อพลาสติกแปะทับไว้ในบริเวณที่เจ็บปวดและใช้ผ้าพันแผลพันทับอีกชั้นทิ้งไว้ตลอดคืน

เราหวังว่าบทความนี้มีประโยชน์สำหรับคุณและโปรดแบ่งปันให้กับครอบครัวและเพื่อนของคุณ

อ้างอิง : allabouthealthylife.com แปลข้อมูลโดย : www.rak-sukapap.com

ลองเอาไปทำกันดู เผยวิธีทำพลาสเตอร์ขิงแก้ปวดตามจุดต่างๆ รวมถึงโรคปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อด้วย


ลองเอาไปทำกันดู เผยวิธีทำพลาสเตอร์ขิงแก้ปวดตามจุดต่างๆ รวมถึงโรคปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อด้วย

ขิง มีประโยชน์อย่างมากมายสามารถช่วยบรรเทาอาการข้ออักเสบ, ปวดหัว, ปวดกล้ามเนื้อ, การปรับปรุงการไหลเวียนของเลือด และต่อต้านการอักเสบรวมถึงการซ่อมแซมได้อีกเช่นกัน คุณสามารถใช้ขิงได้ทั้งในรูปแบบสดและแบบแห้งอาจจะนำมาใช้ทำอาหารและเครื่องดื่ม นอกจากนี้ขิงบดยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมายสามารถรักษาอาการเจ็บกล้ามเนื้อ เส้นเลือดขอด โรคไขข้อ และอาการเคล็ดขัดยอก

ขิงจะส่งความร้อนเข้าสู่ผิวของคุณซึ่งจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดและช่วยรักษาอาการเจ็บปวดให้หายได้อย่างรวดเร็ว

สิ่งที่คุณต้องเตรียมคือ :

แผ่นฟิล์มพลาสติก

รากขิง 1 ชิ้น

กระเทียม 4 กลีบ

เกลือทะเล 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ: ปอกกระเทียมและบดขิงจากนั้นตำส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันด้วยครก เมื่อเสร็จแล้วนำส่วนผสมมาวางไว้บนแผ่นฟิล์มพลาสติกและปิดทับบริเวณที่เจ็บปวด

เพื่อป้องกันไม่ให้ส่วนผสมตกร่วงลงมาให้นำผ้าพันแผลมาพันทับไว้อีกชั้นทิ้งไว้ 6 ชั่วโมง สารออกฤทธิ์ในขิงจะช่วยจัดการกับอาการอักเสบได้เป็นอย่างดีโดยเฉพาะอย่างยิ่ง Coz-2 เอนไซม์ ให้ผลเช่นเดียวกับยาไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) และแอสไพรินที่ระงับความเจ็บปวดได้อย่างรวดเร็ว

อ้างอิง : allabouthealthylife.com แปลข้อมูลโดย : www.rak-sukapap.com

บอกต่อกันไป อาการเจ็บปวดตามเนื้อตัวเรื้อรัง แท้จริงแล้วเกิดจากสาเหตุใด


บอกต่อกันไป อาการเจ็บปวดตามเนื้อตัวเรื้อรัง แท้จริงแล้วเกิดจากสาเหตุใด

ในที่สุดก็ค้นพบถึงสาเหตุของโรคไฟโบรมัยอัลเจียได้แล้ว โปรดแบ่งปันข้อมูลนี้ให้ทุกคนได้รู้! งานวิจัยล่าสุดที่ได้ค้นพบถึงสาเหตุของอาการปวดในผู้ป่วยไฟโบรมัยอัลเจีย ว่าอาการเจ็บปวดไม่ได้เกิดขึ้นในสมองอย่างที่คิด แต่มันเกิดจากเส้นเลือดในมือของเรา!

โรคไฟโบรมัยอัลเจีย (Fibromyalgia) จะสร้างความเจ็บปวดอย่างมากและจะทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ มันส่งผลกระทบต่อคนเป็นจำนวนนับล้านทั่วโลก และโดยปกติผู้ป่วยโรคนี้จะได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ แพทย์บางคนกล่าวว่าสาเหตุของโรคนี้เกิดจากปัญหาด้านจิตใจ แต่ยังมีการตั้งคำถามมากมายถึงต้นตอของโรคว่าแท้จริงแล้วเกิดจากสาเหตุใด?

ข่าวดีมีการค้นพบล่าสุดถึงสาเหตุของโรคชนิดนี้และอาจนำไปสู่การรักษาในอนาคตสำหรับผู้คนนับล้านทั่วโลก นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการตรวจสอบเซลล์ผิวที่มือของผู้ป่วย fibromyalgia ว่าเส้นประสาทสัมผัสไม่มีการตอบสนองต่อความเจ็บปวด เส้นประสาทเหล่านี้มีหน้าที่ควบคุมการไหลเวียนของเลือดรวมถึงเชื่อมโยงต่อความเจ็บปวดทางร่างกาย

หากแต่ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์พบว่ามีเส้นเลือดฝอยในมือจำนวนมากของผู้ป่วยมีการเชื่อมโยงโดยตรงสู่อาการปวดของโรคไฟโบรมัยอัลเจีย และยังมีการค้นพบเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคนี้และมีคำตอบถึงสาเหตุของโรคว่าทำไมอาการเจ็บปวดจะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นในสภาพอากาศที่หนาวเย็น

Dr. Frank L. Rice นักประสาทวิทยากล่าวว่า ปลายประสาทอาจนำมาซึ่งความรู้สึกเมื่อถูกสัมผัส "การไหลเวียนของเลือดที่ติดขัดสามารถสร้างความปวดเมื่อยกล้ามเนื้อรวมถึงความเมื่อยล้า สันนิษฐานว่าเนื่องจากการสะสมของกรดและระดับแลคติกที่ลดลงจึงทำให้เกิดการอักเสบในผู้ป่วยและอาจนำไปสู่โรคสมาธิสั้นได้อีกเช่นกัน" เขากล่าว

ในปัจจุบันนี้โรคไฟโบรมัยอัลเจีย ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาด ส่วนใหญ่จะมีการรักษาด้วยการกินยาแก้ปวด และแพทย์ยังแนะนำให้พักผ่อนให้มากขึ้นรวมถึงการออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย แต่ตอนนี้เราทราบถึงสาเหตุของอาการปวด fibromyalgia ซึ่งทำให้ผู้ป่วยมีความหวังที่จะได้รับการรักษาให้หายขาดในอนาคต "เมื่อมีบางสิ่งบางอย่างทำอย่างไม่ถูกต้อง

แพทย์บางคนประเมินค่าผู้ป่วยต่ำไปโดยอ้างว่า "มีปัญหาทางจิตและจ่ายยารักษาโรคซึมเศร้า(SSRIs)ซึ่งขัดแย้งกับโรคไฟโบรมัยอัลเจียมันเลยแก้ปัญหาไม่ตรงจุด - มันเป็นอะไรที่มากกว่าการผ่าตัดหรือการผ่าเอามดลูกออกไป"

แปลข้อมูลโดย www.rak-sukapap.com

เลี่ยงได้เลี่ยงเลย เตือน 6 อาหารตัวร้ายที่มาพร้อมกับมะเร็ง


เลี่ยงได้เลี่ยงเลย เตือน 6 อาหารตัวร้ายที่มาพร้อมกับมะเร็ง

6 อาหารตัวร้ายที่มาพร้อมกับ มะเร็ง

1.ป๊อปคอร์นไมโครเวฟ ป๊อปคอร์นที่คุณเวฟกินนั้นเคลือบไปด้วยสารพิษ เพราะบนถุงความอร่อยนั้นฉาบเอาไว้ด้วยสารที่ทำให้อาหารสดใหม่แถมด้วยสารพิษที่อาจก่อให้เกิด มะเร็ง นั้นเอง

2.เนื้อสัตว์แปรรูป ไม่ว่าจะเป็นไส้กรอก เบคอน แฮม แสนอร่อยที่กินง่ายทั้งหลายนั้นแหละ มะเร็งล้วนๆ ด้วยกรรมวิธีการแปรรูปเนื้อสัตว์ที่กว่าจะมาถึงเราได้ผ่านอะไรมามาก โดยเฉพาะหากต้องผลิตให้ดูสดดูเฟรชอยู่ได้นานสารก่อมะเร็งเพียบ

3.ปลาแซลมอนเลี้ยง หลายคนอาจจะว่าเจ้าแซลมอนเนื้อส้มน่ากินเนี้ย Healthy สุดๆแล้ว ขอบอกว่าคิดผิดเพราะว่าแซลมอนที่เลี้ยงในฟาร์มมักอุดมไปด้วยสารเคมีและที่สำคัญยังอุดมไปด้วยไขมันอีกด้วย

4.มันฝรั่งทอด มันฝรั่งทอดนั้นกินเพลินเกินห้ามใจจริงๆ แต่น้ำมันท่วมที่เขาใช้ทอดกันนั้นไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพของเราเลย ลดละเลิกกันเถอะ

5.เฟรนช์ฟราย ในเฟรนช์ฟรายจะมีสารอะคริลาไมด์หรือสารที่เกิดจากการใช้ความร้อนสูงเป็นจำนวนมาก ซึ่งเจ้าตัวเนี้ยคือสารก่อมะเร็งตัวจริงเลยล่ะ

6.แอลกอฮอล์ จากการสำรวจผู้หญิง 200,000 กว่าคนในสหรัฐอเมริกา เขาทดสอบมาแล้วว่าคนที่ดื่มแอลกอฮอล์วันละหนึ่งแก้วต่อวัน เสี่ยงเป็น มะเร็ง มากกว่า 30 % ของคนที่ไม่ดื่ม

ข้อมูลจาก sanook

ประโยชน์ 33 ข้อ ของฝรั่ง สรรพคุณทางยาเพียบ อ่านจบรีบไปหามากิน


ประโยชน์ 33 ข้อ ของฝรั่ง  สรรพคุณทางยาเพียบ อ่านจบรีบไปหามากิน

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Psidium guajava L. ชื่อสามัญ : Guava วงศ์ : MYRTACEAE ชื่ออื่น : สุราษฎร์ธานี จุ่มโป่, ปัตตานี ชมพู่, เชียงใหม่ มะก้วย, เหนือ มะก้วยกา มะมั่น, แม่ฮ่องสอน มะกา, ตาก มะจีน, ใต้ ยามู ย่าหมู, นครพนม สีดา, จีนแต้จิ๋ว ปั๊กเกี้ย ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ต้น ขนาดกลาง สูง 3-5 เมตร ผิวเปลือกต้นเรียบเกลี้ยง กิ่งอ่อนเป็นสี่เหลี่ยม ใบ หนา หยาบ ใต้ท้องใบเป็นริ้ว เห็นเส้นใบชัดเจน ขนขึ้นนวลบาง ใบยาวประมาณ 10 ซม. กว้างประมาณ 6 ซม. ดอกช่อ ช่อหนึ่งมีดอกย่อย 3 - 5 ดอก ดอกเล็ก สีขาวอมเขียวอ่อน กลีบเลี้ยงแข็ง ผล รูปทรงกลม รูปไข่ หรือรูปรี ผิว เกลี้ยง สีเขียว เนื้อในขาว รสหวาน กรอบ ผลสุกสีเหลือง- เขียว มีเมล็ดเล็กๆ แข็งอยู่ภายใน

ประโยชน์ของฝรั่ง 33 ข้อของฝรั่ง

1. มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระสูงมากซึ่งช่วยในการชะลอวัยและริ้วรอยต่างๆได้ดี

2. ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย

3. ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส ปกป้องผิวหนังจากอนุมูลอิสระต่างๆ

4. เป็นผลไม้ที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดความอ้วน ลดน้ำหนักหรือควบคุมน้ำหนัก

5. ช่วยลดไขมันในเลือด

6. สรรพคุณของฝรั่งช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคมะเร็ง

7. ใช้รักษาโรคอหิวาตกโรค

8. ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง

9. ช่วยรักษาโรคเบาหวาน

10. ช่วยป้องกันอาการผิดปกติของหัวใจได้

11. ใบฝรั่งใช้ในการดับกลิ่นปาก ด้วยการนำใบสด 3-5 ใบมาเคี้ยวแล้วคายกากทิ้ง

12. ผลอ่อนช่วยบำรุงเหงือกและฝัน

13. ใบฝรั่งช่วยบรรเทาอาการปวดฟัน เหงือกบวม

14. ประโยชน์ของฝรั่งช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิดหรือโรคเลือดออกตามไรฟันได้

15. รากใช้แก้อาการเลือดกำเดาไหล

16. น้ำต้มผลฝรั่งตากแห้ง ช่วยรักษาอาการเสียงแห้ง แก้คออักเสบ

17. น้ำต้มใบฝรั่งสดช่วยรักษาอาการท้องเสีย ป้องกันโรคลำไส้อักเสบ

18. ใบช่วยรักษาอาการท้องเดิน ท้องร่วง

19. ชาที่ทำจากใบอ่อนใช้สำหรับรักษาโรคบิด

20. ผลสุกใช้ทานเป็นยาระบาย แก้อาการท้องผูก

21. ช่วยล้างพิษโดยรวมในร่างกาย

22. ใบช่วยแก้อาการปวดเนื่องจากเล็บขบ

23. ใช้ทาแก้ผื่นคัน แผลพุพองได้

24. ใบใช้แก้แพ้ยุง

25. ใบฝรั่งใช้รักษาบาดแผล

26. ใบใช้เป็นยาล้างแผล ดูดหนอง ถอนพิษบาดแผล แก้พิษเรื้อรัง น้ำกัดเท้า

27. รากใช้แก้น้ำเหลืองสี เป็นฝี แผลพุพอง

28. ใช้ในการห้ามเลือด ด้วยการใช้ใบมาตำให้ละเอียดแล้วนำมาพอกบริเวณที่มีเลือดออก (ควรล้างใบให้สะอาดก่อน)

29. ช่วยในการดับกลิ่นสาบจากแมลงและซากหนูที่ตาย ด้วยการใช้ฝรั่งสุก 2-3 ลูกวางทิ้งไว้ในรัศมีของกลิ่น กลิ่นดังกล่าวก็จะค่อยๆหายไป

30. การรับประทานฝรั่งจะช่วยขจัดคราบอาหารบนตัวฟันได้

31. เปลือกของต้นฝรั่งนำมาใช้ทำสีย้อมผ้า

32. นิยมนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น ฝรั่งดอง ฝรั่งแช่บ๊วย พายฝรั่ง และขนมอีกหลากหลายชนิด

33. นำมาใช้ทำเป็นยาแคปซูลแก้ท้องเสียจากใบฝรั่ง ผลิตโดยองค์การเภสัชกรรม ซึ่งบรรจุแคปซูลละ 250 มิลลิกรัม

วันอังคารที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

หามาทานด่วน ทับทิม ประโยชน์มากมาย ป้องกันษามะเร็ง ลดอาการอักเสบได้


หามาทานด่วน ทับทิม ประโยชน์มากมาย ป้องกันษามะเร็ง ลดอาการอักเสบได้

ประโยชน์
Advertisements

เมล็ดทับทิมเป็นผลไม้มีรส หวานหรือเปรี้ยวอมหวาน น้ำคั้นจากเมล็ดทับทิมมีกลิ่นหอมชวนดื่ม ประกอบด้วยน้ำตาลและกรดที่เป็นประโยชน์ รวมถึงวิตามินเอ ซี อี ธาตุเหล็ก แคลเซียมและแมกนีเซียม ซึ่งเป็นธาตุสำคัญที่ร่างกายต้องการ

ทับทิมถูกใช้เป็นยาพื้นบ้านของชาวอิหร่านและอินเดียมาแต่โบราณ น้ำต้มเปลือกทับทิมใช้แก้เจ็บคอ ยาพอกจากใบใช้พอกหนังศีรษะลดอาการผมร่วง น้ำคั้นเมล็ดทับทิมใช้ลดความร้อนในร่างกาย เชื่อว่าช่วยล้างระบบต่างๆ ของร่างกายและเหมาะสำหรับสตรีมีครรภ์อีกด้วย

ชาวอาหรับใช้เปลือกรากทับทิมสดๆ ต้มน้ำ ดื่มถ่ายพยาธิตัวตืด เปลือกจากลำต้นทับทิม ต้มน้ำใช้ถ่ายพยาธิชนิดต่างๆ ร่วมกับยาถ่าย ใช้เปลือกผลทับทิมผสมกานพลูและฝิ่นรักษาโรคบิดและท้องร่วงอย่างแรง

ชาวอินเดียใช้น้ำคั้นจากผลทับทิมและดอกทับทิม ปรุงยาธาตุ ใช้สมานลำไส้ และแก้ท้องเสีย เมล็ดทับทิมใช้บำรุงหัวใจ

ประเทศไทย แพทย์แผนโบราณใช้ทับทิมทั้งต้นหรือที่เรียกทับทิมทั้งห้าเป็นยาระบาย หรือถ่ายพยาธิเส้นด้ายและตัวตืด

เปลือก ราก และเปลือกต้นมีฤทธิ์ฝาดสมาน ใช้ถ่ายพยาธิตัวตืด พยาธิไส้เดือน พยาธิเส้นด้าย

ใบ ใช้ สมานแผล แก้ท้องร่วง น้ำต้มใบใช้อมกลั้วคอ ทำยาล้างตา

ดอก ใช้ห้ามเลือด

เปลือกผลใช้สมานแผล แก้บิด แก้ท้องร่วง

ส่วนเนื้อหุ้มเมล็ด มีวิตามินซีสูงแก้โรคลักปิดลักเปิด และใช้แก้กระหายน้ำ

สังเกตได้ว่าชาวไทยใช้ประโยชน์จากทับทิมด้านสมุนไพรมากกว่าชาติอื่นๆ

ประโยชน์ทางเภสัชวิทยาที่ค้นพบในปัจจุบัน

ระยะนี้น้ำทับทิมได้รับความนิยมอย่างมากในต่างประเทศ เนื่องจากมีคุณค่าอย่างสูงต่อการดูแลสุขภาพ น้ำทับทิม 1 แก้วมีวิตามินซีร้อยละ 40 ของความต้องการของผู้ใหญ่ใน 1 วัน และมีวิตามินเอ อี และกรดโฟลิกปริมาณสูง น้ำทับทิมที่ผลิตในเชิงธุรกิจจะรวมน้ำคั้นเปลือกผลไว้ด้วย

ชาวบาบิโลเนียในอดีตเชื่อว่าทับทิมเป็นผลไม้ที่ช่วยให้สามารถฟื้นคืนกำลัง ปัจจุบันงานวิจัยมากมายได้สนับสนุนความเชื่อโบราณนี้

การดื่มน้ำคั้นจากทับทิมวันละแก้ว จะช่วยส่งเสริมการทำงานของหลอดเลือด ลดการแข็งของหลอดเลือดแดง และมีสุขภาพหัวใจที่ดีขึ้น และมีผลดีอื่นๆ ต่อสุขภาพ

คุณค่าสารต้านอนุมูลอิสระ

น้ำทับทิมมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระดีมาก เกิดจากจากสารกลุ่มโพลีฟีนอลและแอนโทไซยานินปริมาณสูงที่พบในน้ำทับทิม ปริมาณเท่ากันน้ำทับทิมมีฤทธิ์ต้านต้านอนุมูลอิสระเป็น 3 เท่าของไวน์แดงและชาเขียว และสูงกว่าน้ำบลูเบอร์รี น้ำแครนเบอร์รี น้ำองุ่นสีม่วง และน้ำผลไม้ชนิดอื่น

จากการศึกษาวิจัยพบว่าเปลือก ทับทิมมีสารกลุ่มแทนนินสูงถึงร้อยละ 22-25 โดยประกอบด้วยสารกลุ่มแกลโลแทนนิน (gallotannin) และเอลลาจิแทนนิน (ellagitannin) ปริมาณสูง เปลือกทับทิมตากแห้งใช้เป็นยาแก้ท้องเดินและโรคบิดได้ สารกลุ่มเอลลาจิแทนนิน มีคุณสมบัติเป็นตัวต้านอนุมูลอิสระที่ดี

คุณค่าต่อระบบไหลเวียนเลือด ลดความดันเลือด ป้องกันและรักษาโรคหลอดเลือดแข็งตัวและโรคหลอดเลือดอุดตัน

ป็นที่ทราบกันดีว่าสารโพลีฟีนอลมีความสามารถยับยั้งปฏิกิริยาต้านอนุมูลอิสระ ของไขมันไม่ดี หรือแอลดีแอล-คอเลสเตอรอล (LDL-C, low densitylipoprotein cholesterol) ลดการสร้างโฟมเซลล์ และลดการแข็งตัวของหลอดเลือด
Advertisements

กลุ่มวิจัยไลพิดของอิสราเอลทำงานวิจัยเกี่ยวกับสรรพคุณของน้ำทับทิมที่มีผลต่อโรค หลอดเลือดแข็งตัว พบว่าสารโพลีฟีนอลจากน้ำทับทิมป้องกันไขมันไม่ดีจากปฏิกิริยาต้านอนุมูล อิสระของเซลล์ได้ 2 วิธี คือ โพลีฟีนอลจากทับทิมเข้าทำปฏิกิริยากับไลพิดโปรตีนโดยตรง

อีกวิธี คือโดยการสะสมของโพลีฟีนอลในมาโครฟาจ ของหลอดเลือด พบว่าโพลีฟีนอลจากทับทิมลดความสามารถของมาโครฟาจในการออกซิไดซ์ไขมันไม่ดี โดยทำปฏิกิริยากับโมเลกุลไขมันไม่ดี เพื่อหยุดยั้งปฏิกิริยาต้านอนุมูลอิสระดังกล่าว และยังสะสมในมาโครฟาจในหลอดเลือด ทำให้หยุดยั้งปฏิกิริยาไลพิดเพอร์ออกซิเดชั่น และการสร้างมาโครฟาจที่อุดมไปด้วยไลพิดเพอร์ออกไซด์

นอกจากนี้ สารโพลีฟีนอลในน้ำทับทิมยังเพิ่มการทำงานของเอนไซม์พาราออกโซเนสในพลาสม่า ป้องกันไม่ให้ไขมันไม่ดีถูกออกซิไดซ์ ทำให้เกิดการแตกตัวของไลพิดเพอร์ออกไซด์ในไลโพโปรตีนที่ถูกออกซิไดซ์ไปแล้ว และในรอยเกาะของไขมันที่ผนังหลอดเลือด เมื่อหนูที่มีไขมันเกาะผนังหลอดเลือดได้รับสารจากน้ำทับทิม พบว่าเกิดการหยุดสร้างรอยแผลจากการเกาะของไขมันขึ้นใหม่อีกด้วย

การศึกษาทางคลินิกพบว่าน้ำทับทิมมีผลดีต่อการป้องกันการเกิดโรคหัวใจ น้ำทับทิมลดความข้นของเลือดจากภาวะไขมันสูง งานวิจัยชิ้นหนึ่งกล่าวว่าน้ำทับทิมเป็นเครื่องดื่มที่ช่วยให้เลือดสูบฉีดไป ยังหัวใจได้ดีขึ้น โดยลดความหนาของผนังหลอดเลือดคาโรติด ช่วยการทำงานของไนตริกออกไซด์ทำให้กล้ามเนื้อเรียบผ่อนคลาย ลดภาวะการแข็งตัวของหลอดเลือดจากไขมันในเลือดสูง ลดความดันเลือดหยุดการสะสมไขมันและสลายไขมันสะสมที่หลอดเลือดด้วย

อนุมูลอิสระเป็นตัวทำให้คอเลสเตอรอลมีการเปลี่ยนแปลงโดยปฏิกิริยาต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งคอเลสเตอรอลที่เปลี่ยนแปลงนั้นจะไปเร่งการแข็งตัวของหลอดเลือด น้ำทับทิมช่วยลดปฏิกิริยาต้านอนุมูลอิสระลงได้ครึ่งหนึ่ง สามารถลดปริมาณไขมันไม่ดีหรือคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีที่ทำให้เกิดหลอดเลือดอุด ตันซึ่งนำไปสู่อาการโรคหัวใจ นอกจากนี้น้ำทับทิมยังลดปริมาณพลัค (plaque) ในหลอดเลือดแดงใหญ่ และเพิ่มปริมาณคอเลสเตอรอลดีอีกด้วย

เมื่อเร็วๆ นี้ ผู้วิจัยทำการทดลองในหนู พบว่าน้ำทับทิมลดการสะสมของไขมันบนผนังหลอดเลือด และหยุดการแข็งตัวของหลอดเลือดที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติได้ และเชื่อว่าน้ำทับทิมประมาณ 1 แก้วจะช่วยชะลอการแข็งตัวของหลอดเลือดในผู้ป่วยระยะต้นได้

แพทย์ที่สหรัฐอเมริกาเห็นด้วยว่าน้ำทับทิมสามารถใช้เป็นส่วนหนึ่งของการกินอาหาร เพื่อสุขภาพและการออกกำลัง แต่น้ำทับทิมเพียงอย่างเดียวไม่สามารถป้องกันหรือรักษาโรคหัวใจได้

คุณค่าด้านป้องกันและรักษามะเร็ง

น้ำทับทิมมีผลลดการเกิดมะเร็งเต้านม มะเร็งผิวหนัง งานวิจัยพบว่าน้ำทับทิมสดและน้ำทับทิมที่ผ่านการหมักมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญ เติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมและมะเร็งผิวหนัง เชื่อว่าสารที่ออกฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งเต้านมจำนวนหนึ่งมี ฤทธิ์เป็นเอสโทรเจนจากพืช

สารกลุ่มเอลลาจิแทนนินจากเปลือกผลทับทิมมี ฤทธิ์ต่อต้านการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งกว่า 13 ชนิด ได้แก่ มะเร็งผิวหนัง มะเร็งลำไส้ มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งตับ เป็นต้น

เอลลาจิแทนนินเป็นสารโพลีฟีนอลสำคัญที่พบอยู่ในน้ำทับทิมปริมาณมาก เมื่อผ่านเข้าสู่ร่างกายจะถูกเปลี่ยนสภาพเป็นกรดเอลลาจิกซึ่งจะถูกแบคทีเรีย ในร่างกายมนุษย์เปลี่ยนเป็นอนุพันธ์ของสารยูโรลิทินเอ (urolithin A derivative) ต่อไป

ในสัตว์ทดลองพบว่าหนูทดลองที่ได้รับสารสกัดเข้มข้นของน้ำทับทิมมีการสะสมสารยูโรลิทินเอมากในอัณฑะ ลำไส้ใหญ่และลำไส้เล็ก

งานวิจัยเดียวกันในห้องทดลองพบว่ากรดเอลลาจิก และยูโรลิทินเอ ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งอัณฑะมนุษย์ คณะผู้วิจัยคิดว่าน้ำทับทิมมีฤทธิ์ป้องกัน การเกิดมะเร็งอัณฑะด้วย

นอกจากนี้ สารดังกล่าวมีคุณสมบัติทำลายเซลล์มะเร็งหลอดอาหารและลำไส้ใหญ่ พบว่าเมื่อให้กรดเอลลาจิกกับสัตว์ทดลองที่ทำให้เกิดมะเร็ง สารดังกล่าวจะทำให้เซลล์มะเร็งถูกทำลายโดยกลไกการแตกตัวของตัวมันเองได้

คุณค่าป้องกันตับ

รายงานการทดลองเพิ่มเติมพบว่าเมื่อให้สารจากทับทิมกับหนูทดลอง ก่อนที่จะให้สารพิษคาร์บอนเตตราคลอไรด์เพื่อทำให้เกิดพิษต่อตับ พบว่าหนูที่ได้รับสารจากทับทิมมีฤทธิ์ป้องกันการเป็นพิษต่อตับได้จริง

คุณค่าลดอาการอักเสบ

เป็นที่ทราบกันว่าเอลลาจิแทนนินจากเปลือกผลทับทิมมีสรรพคุณลดอาการอักเสบ แพทย์ทางเลือกที่สหรัฐอเมริกามีการใช้สารสกัดน้ำทับทิมรักษาโรคที่เกิดจาก การอักเสบ เช่น โรคข้อรูมาตอยด์แล้ว

การทดลองในกระต่ายที่มลรัฐ โอไฮโอ สหรัฐอเมริกา ปี พ.ศ.2551 พบว่า เมื่อให้น้ำสารสกัดทับทิมกับกระต่าย ทำให้พลาสม่าจากกระต่ายหลังได้รับสารสกัดน้ำทับทิม มีปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าพลาสม่าที่ตรวจวัดก่อนได้รับสารสกัดดัง กล่าวอย่างมีนัยสำคัญ

การทดลองต่อมาพบว่า สารสกัดน้ำทับทิมลดการทำงานของโปรตีนที่เป็นสาเหตุของการอักเสบอย่างมีนัย สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอนไซม์ไซโคลออกซีไฮดรอจิเนส-2 และพบว่าพลาสม่าของกระต่ายที่ได้รับสารสกัดน้ำทับทิมลดการทำงานของเอนไซม์ไซ โคลออกซีไฮดรอจิเนส-1 และ 2 ในหลอดทดลองได้ และสารสกัดจากน้ำทับทิมยังลดการสร้างสารก่อให้เกิดการอักเสบ (pro-inflammatory compounds) โดยเซลล์จากกระดูกอ่อนด้วย งานวิจัยดังกล่าวจึงให้ข้อมูลสนับสนุนการใช้น้ำทับทิมในการรักษาโรคจากการ อักเสบข้างต้นเป็นอย่างดี

คุณค่าป้องกันโรคกระดูกพรุน

พบน้ำทับทิมมีผลหยุดการทำงานของเอนไซม์ที่ทำลายกระดูกอ่อนในห้องทดลอง จึงต้องรอให้มีการศึกษาผลของการบริโภคน้ำทับทิมว่ามีผลทำให้อัตราการเสื่อม ของกระดูกอ่อนลดลงหรือไม่

คุณค่าอื่นๆ

น้ำทับทิมมีคุณสมบัติทำให้ผิวหน้าเต่งตึงได้ ใช้น้ำทับทิมประมาณ 1 ช้อนชาทาบนใบหน้า ทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น นอกจากนี้การดื่มน้ำทับทิมยังช่วยให้ผิวสวยจากภายใน โดยคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระจะป้องกันผิวจากการทำลายของรังสีอัลตราไวโอเลต อีกทั้งเสริมสุขภาพโครงสร้างเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังชั้นนอกด้วย

เชื่อกันว่าน้ำทับทิมบรรเทาอาการแพ้ท้องในสตรีมีครรภ์ ปรับฮอร์โมนวัยหมดประจำเดือน เสริมสุขภาพทางเพศให้ท่านชาย ช่วยบำบัดโรคเบาหวาน และป้องกันโรคความจำเสื่อมในผู้สูงอายุ ถ้ามีข้อมูลด้านงานวิจัยสนับสนุนความเชื่อเหล่านี้จะได้นำมาเสนอในโอกาสต่อไป

ดื่มน้ำทับทิมวันละผลไม่ต้องไปหาหมอ (คั้นสดวันละ 50-100 มิลลิลิตร หรือน้ำทับทิมเข้มข้นวันละ 1 ช้อนโต๊ะ)

ที่มา ... หมอชาวบ้าน
Advertisements

น่าทึ่ง ผักชี สมุนไพรมหัศจรรย์ ช่วยกำจัดโลหะหนักออกจากร่างกายของคุณได้ถึง 80%


น่าทึ่ง ผักชี สมุนไพรมหัศจรรย์ ช่วยกำจัดโลหะหนักออกจากร่างกายของคุณได้ถึง 80%
Advertisements

เราสามารถพูดได้ว่าผักชีเป็นหนึ่งในสมุนไพรสำหรับล้างสารพิษที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด มันสามารถกำจัดโลหะหนักและสารพิษปนเปื้อนอื่น ๆ นอกจากนี้ยังสามารถ ขัดขวางสารปรอทจากอวัยวะของคุณได้อีกเช่นกัน ตามที่ผู้เชี่ยวชาญระบุไว้ โลหะหนักมีส่วนทำให้เกิดปัญหาสุขภาพที่รุนแรงมากมาย เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง สมองเสื่อม ภาวะทางอารมณ์ โรคปอด โรคไต และโรค กระดูกเปราะ

ผักชนิดนี้ดีต่อสุขภาพมันเต็มไปด้วยสารอาหารที่ดีเป็นจำนวนมากรวมถึงแร่ธาตุ เช่น แมกนีเซียม โพแทสเซียม แคลเซียม แมงกานีส เหล็ก นอกจากนี้ยังมีวิตามิน A และ K สูง ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่าช่วยต้านการอักเสบ ลดการติดเชื้อ และฆ่าเชื้อโรคและเชื้อราได้อย่างรวดเร็ว นักวิจัยชาวอินเดียแห่งสถาบันวิทยาศาสตร์การแพทย์ (AIIMS) ในนิวเดลี ได้ใช้วิธีแก้ปัญหานี้โดยการฉีดสารแอนติเจนเข้าไปในอุ้งเท้าหลังด้านซ้ายของหนู ซึ่งจะทำ ให้เกิดการอักเสบและบวมคล้ายกับเป็นโรคไขข้ออักเสบ และพวกเขาได้ค้นพบว่าเมื่อหนูได้รับการบริโภคผักชีเข้าไปมันก็สามารถช่วยลดปัญหาเหล่านี้ได้

วิธีใช้ผักชี

เราจะนำเสนอวิธีการทำที่มีประสิทธิภาพอีกทั้งยังมีราคาถูกให้กับคุณเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้ในชีวิตประจำวัน

เพียงแค่ใช้ผักชีออร์แกนนิคไม่กี่ต้นใส่ลงไปในเครื่องปั่นและดื่มมันอย่างสม่ำเสมอ หรือคุณจะเพิ่มผักชีรวมอยู่ในมื้ออาหารของคุณก็ได้

สูตรรักษาอาการอักเสบด้วยผักชี

ส่วนผสม:

ผักชีออร์แกนนิคหั่น 1/2 ถ้วย

น้ำแอปเปิ้ลออร์แกนนิค 1/2 ถ้วย

น้ำ 1/2 ถ้วย

ผงวีทกราส หรือ ผงคลอเรลลา 1 ช้อนชา

วิธีทำ: ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในเครื่องปั่นและปั่นผสมจนเป็นเนื้อเดียวกัน และคุณจะประหลาดใจกับผลลัพธ์ที่ได้ เราหวังว่าคุณจะได้ประโยชน์จากบทความนี้และไม่ลืมที่จะ แบ่งปันให้กับเพื่อนและคนในครอบครัวของคุณ

แปลข้อมูลโดย : www.rak-sukapap.com
Advertisements