วันอังคารที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ต้องกินบ่อยๆ นักวิทยาศาสตร์เผย ขนุน กินต้านมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้


ต้องกินบ่อยๆ นักวิทยาศาสตร์เผย ขนุน กินต้านมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้
Advertisements

จำเด็กน้อยคนในภาพนี้ได้มั้ย ที่ดูผอมจนเหลือแต่กระดูก ปัจจุบันเขาเปลี่ยนไปแล้ว หลังถูกรับไปเลี้ยง 1 ปี ดูแล้วน้ำตาจะไหล น่าปลื้มใจจริงๆ (ชมภาพ)นักวิทยาศาสตร์ เผย กินขนุนฆ่าเซลล์มะเร็ง และต้านมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ ตามรายงานโดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติในประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี 2013ชาวอเมริกาประมาณ 1.17 ล้านคนได้ลงทะเบียนเป็นผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นโรคที่รักษายาก แต่มีวิธีธรรมชาติในการรักษาโรคนี้และมันคือผลไม้เขตร้อนที่เรียกกันว่า ขนุน

ขนุนใช้ในการป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อย่างไร ?

ขนุนมีสารต้านมะเร็งที่มีประสิทธิภาพมากดังต่อไปนี้

-ไฟโตนิวเทรียนท์ phytonutrients

-ลิกแนน lignans

-ไอโซฟลาโวน isoflavones

-ซาโปนิน saponins

สารเหล่านี้ช่วยกำจัดสารอนุมูลอิสระที่ก่อตัวของเซลล์มะเร็งและเนื้องอก

สิ่งเหล่านี้คือสารต่อต้านสารก่อมะเร็ง

-ไอโซฟลาโวน และลิกแนน

สารเหล่านี้สามารถป้องกันการเกิดมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก การศึกษาวิจัยในปี 2006 ได้ดำเนินการทดสอบกับผู้หญิงจำนวน 500 คน ได้แยกผู้หญิงออกหนึ่งกลุ่มที่ได้รับสารลิกแนนจากขนุน

และผลที่ออกมามันช่วยลดความเสี่ยงและบรรเทาอาการมะเร็งของพวกเขาได้ เมื่อเทียบกับอีกกลุ่มที่ไม่ได้สารชนิดนี้ ผลการวิจัยนี้ถูกตีพิมพ์ในวารสารของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ

-ไฟโตนิวเทรียนท์

สารชนิดนี้เป็นสารที่พบในขนุนช่วยยับยั่งการเกิดโรคมะเร็งในระยะเริ่มต้น

-ซาโปนิน

มีสารแอนตี้มะเร็งที่พบในขนุนสามารถลดการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ สารชนิดนี้ทำหน้าที่หยุดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง

ประโยชน์ของขนุน

-สามารถป้องกันเซลล์ดีเอ็นเอ

ขนุนมีสารต้านอนุมูลอิสระในการปกป้องเซลล์ดีเอ็นเอที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย

-ช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน

ขนุนอุดมไปด้วยวิตามินซีที่ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันและช่วยทำให้ร่างกายต่อสู้กับการติดเชื้อได้อย่างเป็นธรรมชาติ

-ช่วยระบบย่อยอาหาร

ขนุนช่วยบรรเทาปัญหาของระบบทางเดินอาหาร เช่น อาหารไม่ย่อย ท้องผูก เพราะขนุนอุดมไปด้วยไฟเบอร์นอกจากนี้ยังลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก

ข้อมูลทางโภชนาการของขนุน

-ขนุนมีปริมาณคอเรสตอรอลและโซเดียมต่ำ

-ขนุนหนึ่งถ้วยมีปริมาน 155 แคลอรี่ และมีไขมันเพียง 4 แคลอรี่

-ในขนุนหนึ่งถ้วยช่วยเพิ่มไฟเบอร์ให้คุณถึง 11%

-ขนุนประกอบด้วยน้ำตาลเชิงเดี่ยวที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของคุณ

-ขนุนอุดมไปด้วยเซเลเนียม สังกะสี ทองแดง แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก และแมงกานีส

-นอกจากนี้ยังมีระดับโฟเลตสูง ไนอาซิน วิตามินบี ไรโบเฟลวิน วิตามินเอและซี

อ้างอิง : timefornaturalhealthcare.com แปลข้อมูลโดย  www.rak-sukapap.com
Advertisements

น่าทึ่ง ประโยชน์จากวิคส์ เพียงใช้วิคส์ทาในหูทิ้งไว้ทั้งคืนตื่นมาคุณจะประหลาดใจ


น่าทึ่ง ประโยชน์จากวิคส์ เพียงใช้วิคส์ทาในหูทิ้งไว้ทั้งคืนตื่นมาคุณจะประหลาดใจ
Advertisements

วิคส์เป็นยายอดนิยมที่ใช้รักษาอาการเจ็บป่วยได้อย่างมากมาย บทความนี้จะช่วยบอกวิธีรักษาอาการต่างๆ จากการใช้วิคส์ สามส่วนผสมหลักของวิคส์ มีเมนทอล การบูร และน้ำมันยูคาลิปตัส ช่วยบรรเทาอาการไอและลดอาการแน่นจมูก นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เป็นยาแก้ปวดที่มีประสิทธิภาพ ผลิตภัณฑ์นี้ยังมีประโยชน์อื่น ๆ อีกมากมายและยังสามารถสร้างความประหลาดใจกับกรณีดังต่อไปนี้:

อาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ คุณลองใช้ผลิตภัณฑ์นวดบริเวณที่มีอาการเจ็บปวดจากนั้นนำผ้าขนหนูมาห่อไว้จะช่วยบรรเทาอาการปวดได้เป็นอย่างดี

อาการปวดหู ส่วนใหญ่อาการปวดหูเป็นผลมาจากการติดเชื้อที่หูหรือเป็นไข้หวัด อาการปวดหูมักสร้างความเจ็บป่วยในขณะที่กำลังนอนหลับทำให้คุณนอนหลับไม่เพียงพอก่อให้เกิดความทรุดโทรมแก่ร่างกาย ด้วยเหตุนี้คุณลองใช้คัตเติ้ลบัตทาวิคส์แล้วทาเข้าไปในหูทิ้งไว้ตลอดคืน จะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดให้หายไป

อาการปวดหัว ในกรณีที่มีอาการปวดศีรษะลองใช้วิคส์ทาบางๆที่ขมับจะช่วยบรรเทาอาการปวดหัวได้อย่างรวดเร็ว ในกรณีที่มีอาการปวดหัวไซนัสให้ทาเข้าไปในรูจมูกจากนั้นหายใจเข้าช้าๆลึกๆ จะช่วยแก้ปัญหานี้ได้

ส้นเท้าแตก ใช้วิคส์ถูนวดบริเวณส้นเท้าของคุณทุกเย็น นวดบริเวณที่มีปัญหาปล่อยทิ้งไว้ตลอดคืน ล้างออกในตอนเช้าด้วยน้ำอุ่นและขัดด้วยหินภูเขาไฟจะช่วยแก้ปัญหาส้นเท้าแตกของคุณ

รักษารอยฟกช้ำและบาดแผลเล็ก ๆ เพื่อช่วยให้อาการเหล่านี้หายเร็วขึ้น เพียงคุณทาวิคส์รอบๆ บาดแผลเล็กๆของคุณ แต่หลีกเลี่ยงการทาเข้าไปในแผลโดยตรง สำหรับรอยฟกช้ำใช้วิคส์และเกลือผสมกันถูนวดเบาๆ จะช่วยบรรเทาอาการฟกช้ำให้หายเร็วขึ้น

เชื้อราที่เล็บเท้า ทาวิคส์บริเวณที่ติดเชื้อ 2-3 ครั้งทุกวัน ใช้วิธีรักษานี้เพียงสองสามสัปดาห์เชื้อราจะหายไป

รักษารอยข่วนของสัตว์ หากคุณอยากป้องการรอยขีดข่วนของแมว ให้ทางวิคส์บางๆไว้บนประตู โซฟ ผ้าม่าน และเฟอร์นิเจอร์ของคุณ

ไล่แมลง ใช้วิคส์ทาบางๆ บริเวณเสื้อผ้าและผิวของคุณสามารถช่วยไล่แมลงได้ แต่ถ้าคุณโดนแมลงกัดต่อยให้ถูนวดวิคส์บริเวณที่เกิดปัญหาเพื่อบรรเทาอาการคัน

อ้างอิง : healthyfoodhouse.com แปลข้อมูลโดย : www.rak-sukapap.com
Advertisements

อร่อยจนต้องบอกต่อ แจกสูตรหมักคอหมูย่างรสเด็ด ทำเองง่ายๆได้ที่บ้าน


อร่อยจนต้องบอกต่อ แจกสูตรหมักคอหมูย่างรสเด็ด ทำเองง่ายๆได้ที่บ้าน
Advertisements

สูตรหมักคอหมูย่าง

1. เนื้อสันคอ ชิ้นกลางๆ 1 ชิ้น

2. ซีอิ๊วขาว 3 ช้อนโต๊ะ

3. ซอสหอย (น้ำมันหอย) 2 ช้อนโต๊ะ

4. น้ำตาลทราย 1 ½ ช้อนโต๊ะ

5. พริกไทย 1 ช้อนชา

6. เกลือป่น ½ ช้อนชา

7. นมข้นจืด หรือ นมสด 3 ช้อนโต๊ะ

น้ำจิ้มคอหมูย่าง

1. พริกป่น 1 ช้อนโต๊ะ

2.น้ำมะขามเปียก ½ ช้อนโต๊ะ

3. น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ

4. น้ำตาล ½ ช้อนโต๊ะ

5. ข้าวคั่ว 1 ช้อนโต๊ะ

6. ต้นหอมผักชี ตามชอบ

วิธีปรุง

วิธีหมักคอหมูย่าง

1. เนื้อสันคอนำมาแล่เป็นชิ้นบางๆ นำมาหมักกับเครื่องปรุงต่างๆ ขยำให้เข้ากันประมาณ 15 นาที หมักทิ้งไว้อีก 1 ช. ม.

2. มาถึงขั้นตอนการย่าง เอาคอหมูย่างมาวางบนตะแกรงย่างด้วยไฟอ่อน ถ้าใช้เตาถ่านจะหอมมากครับ ย่างจนสุกดีแล้วหั่นเป็นชิ้นบาง จัดใส่จายไว้

การทำน้ำจิ้มคอหมูย่าง

1. นำส่วนผสมน้ำจิ้มต่างๆผสมให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ

2. ใส่ผักชีต้นหอมลงไป พร้อมเสิร์ฟกับคอหมูย่าง

ขอบคุณเนื้อหาจาก www.saraupdate.com
Advertisements

ผ้าเก่าจะกลับมาเป็นผ้าใหม่ทันที ด้วย 10 วิธี ซักผ้าขาวเหล่านี้


ผ้าเก่าจะกลับมาเป็นผ้าใหม่ทันที ด้วย 10 วิธี ซักผ้าขาวเหล่านี้
Advertisements

คงไม่มีใครอยากจะใส่เสื้อนักเรียนที่มีคราบเหลือง ๆ หรือขาวแบบหม่นไปโรงเรียนแน่ๆ เลยงอแงขอเสื้อตัวใหม่กันใหญ่ เอาเป็นว่าพ่อ-แม่ที่อยากจะประหยัดค่าใช้จ่ายในบ้าน ก็สามารถทำตามคำขอของลูก ๆ ได้ง่าย ๆ เพียงแค่นำสูตรซักเสื้อขาวเหล่านี้ไปซักชุดนักเรียนตัวเก่าให้ลูก ๆ นำไปใส่ในวันเปิดเทอม รับรองว่าเสื้อนักเรียนที่เคยมีคราบหรือดูหมอง ๆ จะกลับมาขาววิ้งเหมือนใหม่ ลูกใส่แล้วไม่อายเพื่อนที่โรงเรียนแน่นอน

10 สูตรซักผ้าขาว

1. สูตรน้ำมะนาว รสชาติเปรี้ยวเข็ดฟันของน้ำมะนาวนี่แหละ คือตัวช่วยดี ๆ ที่ทำให้ผ้าขาวกลับมาขาวสดใสได้อีกครั้ง โดยการผสมน้ำมะนาว ½ ถ้วยตวงลงในน้ำผงซักฟอก แล้วนำเสื้อมาแช่ทิ้งเอาไว้ประมาณ 1 ชั่วโมงหรือ 1 คืนก่อนนำไปซักตามวิธีปกติอีกครั้ง

2. สูตรน้ำส้มสายชู สูตรนี้ให้ทำหลังจากซักเสร็จแล้ว โดยให้นำเสื้อมาซักน้ำส้มสายชู 1 ถ้วยตวงผสมน้ำเปล่าอีกครั้ง ก่อนนำไปตากให้โดนแดด ซึ่งวิธีนี้จะทำให้ผ้าขาวกลับมาใหม่และทำลายคราบหมองจนเกลี้ยง

3. สูตรไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ หากผ้าขาวมีคราบเลอะจนทำให้เกิดคราบหมอง ให้ผสมไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ½ ถ้วยตวง กับเบกกิ้งโซดา ½ ถ้วยตวง และน้ำเปล่าอีก 1 ถ้วยตวง เพื่อนำมาซักกับผ้าขาวแทนการใช้ซักผงฟอกตามปกติ

4. สูตรไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์กันน้ำยาล้างจาน อีกหนึ่งทางเลือกดี ๆ ในการกำจัดคราบที่เป็นสาเหตุทำให้ผ้าขาวหม่นหมอง ด้วยการผสมไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ 2 ส่วนต่อน้ำยาล้างจาน 1 ส่วน เทลงบนคราบ แล้วขยี้จนกว่าคราบจะหายไป ก่อนนำไปซักตามปกติอีกครั้ง

5. สูตรสารฟอกขาว นำสารฟอกขาวชนิด คลอรีน บลีช (Chlorine bleach) มาผสมกับน้ำเปล่าตามขั้นตอนที่ฉลากกำกับไว้ แล้วแช่ผ้าขาวทิ้งไว้ 15 นาที ก่อนนำไปซักคราบออกให้เกลี้ยงเกลา
Advertisements

6. สูตรแอมโมเนีย แอมโมเนียช่วยให้ผ้าขาวคุณขาวสะอาดได้เหมือนกัน โดยการผสมแอมโมเนียมาผสมกับน้ำเปล่าให้เจือจาง แล้วนำไปซักผ้าขาวพร้อมผงซักฟอก แต่มีข้อแม้ว่าอย่าผสมแอมโมเนียกับผงซักฟอกโดยตรงเด็ดขาด เพราะจะทำให้เนื้อผ้าเสียหายได้

7. สูตรกรดซาลิก หากผ้าขาวสะอาดเลอะคราบสนิมเหล็ก กำจัดคราบออกได้ โดยผสมกรดซาลิกประมาณ 1 ช้อนโต๊ะกับน้ำอุ่น 1 ถ้วยตวง ป้ายส่วนผสมที่ได้ลงบนคราบแล้วขยี้ แต่ถ้ายังมีคราบสีหลงเหลืออยู่ แนะนำให้ซักด้วยแอมโมเนียซ้ำอีกครั้ง แต่วิธีนี้ต้องทำอย่างระมัดระวัง เนื่องจากกรดซาลิกอาจทำให้เกิดการระคายเคืองที่ผิวหนังได้

8. สูตรเบกกิ้งโซดา นอกจากเบกกิ้งโซดาจะช่วยทำความสะอาดบ้านได้แล้ว ยังทำให้ผ้าขาวเหมือนใหม่ได้อีกด้วย โดยการเทเบกกิ้งโซดา ½ ถ้วยตวงลงในน้ำผงซักฟอก ก่อนนำผ้าขาวมาซักทำความสะอาดตามปกติ ผ้าขาวของคุณก็จะขาวสะอาดเหมือนใหม่เลยล่ะ

9. สูตรบอแรกซ์และน้ำส้มสายชู สูตรนี้เรียกได้ว่าช่วยเพิ่มพลังกำจัดคราบได้อีกทางหนึ่ง เริ่มจากผสมบอแรกซ์ ½ ถ้วยตวงเข้ากับน้ำส้มสายชู ½ ถ้วยตวง เทผสมลงในน้ำผงซักฟอก ก่อนซักผ้าขาวตามปกติ

10. สูตรน้ำซาวข้าว รู้หรือไม่ว่าน้ำซาวข้าวที่เราเททิ้งนั้นมีประโยชน์มาก เพราะมันสามารถซักผ้าขาวของเราให้ขาวสะอาดได้ด้วยนะ โดยนำผ้าขาวไปซักแล้วแช่ไว้ในน้ำซาวข้าวผสมน้ำเปล่าประมาณ 2-3 นาที แล้วค่อยนำผ้าขาวมาซักอีกครั้ง

แม้ผ้าขาวของคุณจะหม่นหมองหรือเลอะคราบเปื้อนแค่ไหน สูตรซักผ้าขาวเหล่านี้ก็สามารถช่วยให้ผ้าขาวของคุณกลับมาใหม่ได้อีกครั้ง ไม่ต้องเสียเงินซื้อซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้สิ้นเปลืองเลย

ที่มา www.thaijobsgov.com/jobs=63717
Advertisements

บอกต่อกันไป 4 สัญญาณเตือนหลังตื่นนอน รู้เอาไว้จะได้รักษาทัน


บอกต่อกันไป 4 สัญญาณเตือนหลังตื่นนอน รู้เอาไว้จะได้รักษาทัน

4 สัญญาณเตือนเมื่อตื่นนอน

1. หากตื่นนอนตอนเช้าตรู่แล้วมีอาการปวดหัววิงเวียน อาจจะมีสาเหตุจากโรคกระดูกสันหลังสวนคอเสื่อมหรือเลือดข้นผิดปกติ

2. หากมีอาการบวมไมยุบหลังตื่นนอน20นาที อาจจะมีความผิดปกติของระบบไตและอวัยวะภายใน

3. ตื่นมาแล้วมีอาการคลื่นไสอยากอาเจียน นอกจากจะเป็นอาการของคนแพท้องแล้วถ้าเป็นแบบนี้ทุกวันอาจจะเป็นเพราะการอักเสบในกระเพาะอาหารหรือเป็นโรคเกี่ยวกับตับและถุงน้ำดี

4. หลังจากตื่นนอนหากปัสสาวะมีสีเหลืองเข้มค่อนไปทางสีน้ำตาลอ่อนอาจจะเป็นเพราะความผิดปก ติของตับ

ระหว่างล้างหน้าอย่าลืมสังเกตดูวาหน้าของเรามีความผิดปกติอะไรไหม

1. หากพบวาหน้าแดงผิดปกติอาจจะมีปัญหาเกี่ยวกับโรคหัวใจหรือความดันสูง

2. หน้าเหลืองกว่าปกติ และรู้สึกเหนื่อยเพลียอาจจะเป็นสัญญาณเตือนของโรคดีซ่าน

3. หากตื่นเช้ามาแล้วมีอาการตาแดง ตาขุ่นมัวหรือตาเหลืองควรรีบไปพบจักษุแพทย์โดยเร็ว

4 หากตื่นมาแล้วหน้าซีดตาซีดอาจจะเป็นเพราะขาดธาตุเหล็ก

5. ถ้ากระจกตาพร่าและมีวงสีเทาปรากฏบนกระจกตาอาจจะมีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ

อาการต่างๆขณะแปรงฟัน

1. หากมีเลือดออกขณะแปรงฟันอาจจะเป็นสัญญาณของโรคปริทันต์หรือเหงือกอักเสบ หากฟันแข็งแรงดีเลือดจะไมออกและอาจจะเป็นสัญญาณของโรคเกี่ยวกับตับอีกด้วย

2. หากตื่นมาแล้วรู้สึกว่าปากเหม็นหรือมีกลิ่นปากรุนแรงกวาปกติอาจจะเป็นโรคปริทันต์ขั้นต้นหรือกระเพาะอักเสบ โรคเกี่ยวกับตับ เบาหวานหรือการขาดสังกะสีและวิตามินบีมีแนวโน้มที่จะทำให้มีกลิ่นปากเช่นกัน

3. ากกลิ่นปากมีกลิ่นคล้ายแอมโมเนีย อาจจะเป็นเพราะไตมีปัญหากลิ่นปากของแอมโมเนีย เมื่อไตวาย ร่างกายจะ ไม่สามารถเผาผลาญ ตามปกติปริมาณ ของยูเรียไนโตรเจนในระดับที่เพิ่มขึ้นทำให้มีกลิ่นแอมโมเนียในปาก

เพื่อสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงก็ไม่ควรละเลยปัญหาเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ อย่าลืมแบ่งปันบทความดีๆให้คนที่คุณห่วงใย สุขภาพที่ดีเริ่มต้นจากการดูแลทุกวัน

ข้อมูลดีๆจาก liekr

ลองทำดู โชคลาภสิ่งดีๆจะมีแด่ท่าน แนะวิธีอุทิศให้ดวงวิญญาณที่หิวโหยสัมภเวสี


ลองทำดู โชคลาภสิ่งดีๆจะมีแด่ท่าน แนะวิธีอุทิศให้ดวงวิญญาณที่หิวโหยสัมภเวสี
Advertisements

วิธีอุทิศให้ดวงวิญญาณที่หิวโหยสัมภเวสี โชคลาภสิ่งดีๆจะมีแด่ท่าน การสงเคราะห์ให้กับดวงวิญญาณง่ายๆและได้บุญยิ่งนัก คือ...

1.ทุกวันพระข้างแรมให้จัดกระทงใบตองมีข้าวกุ้งพล่าปลายำ น้ำ หมากพลู ขนมหวาน ปักธูป 1 ดอก ไปไหว้ที่ทาง 3 แพร่ง ให้สวด นะโม 3 จบ แล้วว่า "อิติเวสสุวัณโณ สัพพะภูโตสุขัง" 7จบ แล้วอธิษฐานว่า"ใครที่หิวโหย เชิญมากินอาหารเหล่านี้ได้เลยน๊าา" แล้วอย่าหันกลับไปมอง เป็นการสะเดาะเคราะห์ให้ตนเองไปในตัวด้วย

2.ถวายธูปเทียนแก่ศาลเจ้าที่เจ้าทางทั้งหลายพร้อมไฟแช็คหรือไม้ขีด โดยไปถวายในศาลทั่วๆไปที่มีคนไหว้ให้ถวายในวันพระข้างแรมเช่นกัน เวลาถวายให้จุดธูป 5 ดอก แล้วว่า "อมอิมัง ธูปะบูชา ภุมมะเทวา สุขิตาโหนตุ" (7 จบ)

3.ไหว้ธูป 1 ดอก ทุกวันหน้าบ้านด้วยขนมหวาน ข้าว 1 ปั้น หมูปิ้ง 1 ชิ้น ใส่ในกระทงใบตองก็ได้พร้อมหมากพลูและน้ำ 1 แก้ว ให้สวด "อิติ ธรณี ไมตรี เมตตา ภูตา ภุมมิ มหาลาภัง ภะวันตุเม" (7 จบ) เหมาะสำหรับคนที่เปิดร้านค้าขายจะดีเป็นพิเศษ ควรทำก่อนเที่ยง

บุญประเภทนี้หาทำได้ยาก เพราะโปรดวิญญาณเร่ร่อน ที่โมทนารับบุญกุศลไม่ได้ ต้องผ่านเครื่องสรวงเซ่นบูชา เดินทางไปที่ใดๆเหล่าภูติจะเมตตาเปิดทางให้พบแต่สิ่งดีๆ เจ้ากรรมนายเวรให้อโหสิโดยง่าย แสดงออกถึงความอ่อนน้อม และ มีเมตตา เวรภัยไม่รบกวน

ขอบคุณข้อมูลจาก มนุนาถ อินทรมงคล
Advertisements

มะเร็งแพ้อะไร เรื่องจริงที่หมอไม่เคยบอกเรา อยากเอาชนะมะเร็งลองอ่านดู


มะเร็งแพ้อะไร เรื่องจริงที่หมอไม่เคยบอกเรา อยากเอาชนะมะเร็งลองอ่านดู
Advertisements

ใครๆก็ไม่อยากเป็นมะเร็ง แต่ถ้าเกิดเป็นไปแล้ว หลายคนก็จำเป็นต้องเลือกวิธีการรักษาด้วยวิธีที่เรียกว่า “คีโม” ซึ่งพวกเรารู้ดีว่าคีโมสามารถฆ่าเชื้อมะเร็งได้เป็นอย่างดี แต่ก็ต้องแลกมากับการเสียบางสิ่งบางอย่างในร่างกายไปด้วย วันนี้มาเรียนรู้ข้อมูลเกี่ยวกับโรคมะเร็งจาก รพ.จอห์น ฮอพกินส์ เรื่องจริงที่หมอไม่เคยบอกเราดีกว่า ว่าคีโมน่ากลัวมากแค่ไหน!

1. ทุกๆคนมีเซลล์มะเร็งในร่างกาย แต่เซลล์มะเร็งเหล่านี้จะไม่ปรากฎหรือตรวจสอบไม่ได้จนกระทั่งมันขยายตัวเพิ่มขึ้นในระดับพันล้านเซลล์ ซึ่งเซลล์มะเร็งอาจจะเกิดขึ้น 6-10 ครั้งในช่วงอายุของคนๆหนึ่ง แต่เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายของเราแข็งแรงมากเพียงพอ เซลล์มะเร็งเหล่านั้นก็จะถูกทำลายหรือฝ่อไป และไม่มีการขยายตัวและกลายเป็นเนื้องอกต่อไป

2. มะเร็งคือความบกพร่องทางโภชนาการ การเป็นมะเร็งสื่อได้ว่าคนๆนั้นมีความบกพร่องหลายประการเกี่ยวกับโภชนาการ ซึ่งอาจเกิดจากยีนสิ่งแวดล้อม อาหาร และปัจจัยอื่นๆในการดำรงชีวิต ซึ่งการจะเอาชนะภาวะบกพร่องทั้งหลายเกี่ยวกับโภชนาการได้ ก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงประเภทของอาหารที่รับประทาน เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารบางอย่างที่จะช่วยเสริมให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้นได้

3. คีโมเป็นพิษกับทั้งเซลล์ดีและเซลล์ไม่ดี การทำคีโม คือ การให้สารเคมีที่มีความเป็นพิษกับเซลล์มะเร็งที่กำลังเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ขณะเดียวกัน มันก็จะทำลายเซลล์ดีที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น เซลล์ในไขกระดูก ระบบทางเดินอาหาร เป็นต้น ซึ่งล้วนแต่เป็นสาเหตุที่ทำให้อวัยวะบางส่วนถูกทำลายไป เช่น ตับ ไต หัวใจ ปอด เป็นต้น

4. มะเร็งแพ้คีโม แต่ยิ่งทำนานยิ่งเป็นโทษ การบำบัดโดยคีโม และการฉายรังสีมักจะช่วยลดขนาดของเนื้องอกได้ในช่วงแรกๆ อย่างไรก็ตาม ถ้าทำไปนานๆจนถึงจุดหนึ่ง มักจะไม่พบว่ามีผลต่อการทำลายเซลล์เนื้องอกแต่อย่างใด ซึ่งเมื่อร่างกายได้รับสารพิษจากการทำคีโม หรือการฉายรังสีมากเกินไป ระบบภูมิคุ้มกันอาจถูกทำลายลงได้ ดังนั้น จึงมักพบว่าผู้ป่วยอาจตกอยู่ในอันตรายจากการติดเชื้อหลายชนิด และยังทำให้โรคมีความซับ ซ้อนมากยิ่งขึ้นด้วย

5. มะเร็งแพ้ออกซิเจน เซลล์มะเร็งไม่สามารถเจริญเติบโตได้ในสภาวะที่มีออกซิเจนเป็นจำนวนมาก ดังนั้น การออกกำลังกายทุกวันและการหายใจลึกๆจะช่วยให้ร่างกายได้รับออกซิเจนเพิ่มขึ้นจนลงไปถึงระดับเซลล์ และเป็นวิธีการบำบัดที่ใช้ในการทำลายเซลล์มะเร็งได้เป็นอย่างดี

6. มะเร็งแพ้อาหารแบบไหน วิธีที่ดีที่สุดในการกำจัดมะเร็ง คือ การไม่ให้เซลล์มะเร็งได้รับอาหารเพื่อเจริญเติบโต โดยอาหารที่มีผลต่อการโตของเนื้อร้าย ได้แก่
Advertisements

1. น้ำตาล อาหารโปรดของเซลล์มะเร็ง ก็คือ “น้ำตาล” การตัดอาหารของมะเร็งประเภทนี้ได้จึงนับเป็นเรื่องที่ดี ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาลทราย หรือสารทดแทนน้ำตาลอย่าง นิวตร้าสวีต อีควล สปูนฟูล เป็นต้น

2. เกลือสำเร็จรูป เกลือเหล่านี้ล้วนใช้สารเคมีในการฟอกขาว จึงควรเลือกบริโภค แบรก อมิโน หรือ เกลือทะเลแทน

3. นม นมเป็นสาเหตุทำให้ร่างกายผลิตเมือก โดยเฉพาะในระบบทางเดินอาหาร ซึ่งเซลล์มะเร็งจะรับอาหารได้ดีในสภาวะที่มีเมือก ดังนั้น จึงควรดื่มเป็นนมถั่วเหลืองชนิดไม่หวาน เพราะจะทำให้เซลล์มะเร็งไม่ได้รับอาหาร

4. เลี่ยงเนื้อสัตว์บางชนิด เซลล์มะเร็งเติบโตได้ดีในสภาวะที่เป็นกรด ซึ่งการรับประทานอาหารจำพวกเนื้อจะสร้างสภาวะกรดให้เกิดขึ้นในร่างกาย อีกทั้ง โปรตีนจากเนื้อจะย่อยยากและต้องการเอ็นไซม์หลายชนิดมาช่วยในการย่อย หรืออาจจะทำให้เกิดการบูดเน่าและมีความเป็นพิษมากขึ้นได้ ดังนั้น จึงควรหันไปรับประทาน ‘ปลา’ จะดีที่สุด รองลงมา คือ เนื้อไก่ ส่วนในเนื้อวัวและเนื้อหมู อาจมียาฆ่าเชื้อหรือฮอร์โมนที่สร้างการเจริญเติบโตในสัตว์และเชื้อปรสิตได้

5. เน้นกินผัก ในทางตรงกันข้าม ต้องพยายามเสริมสภาวะด่างในร่างกาย โดยการทานอาหารประเภทผักสด น้ำผักผลไม้ พืชจำพวกหัว เมล็ดถั่วเปลือกแข็ง และผลไม้

6. หลีกเลี่ยงกาแฟ ชา และช๊อกโกแลต เนื่องจากอาหารพวกนี้มีคาเฟอีนสูง หากต้องการดื่มชาให้เน้นเป็นชาเขียว เนื่องจากชาเขียวมีคุณสมบัติในการต้านมะเร็งได้ ส่วนการเลือกดื่มน้ำให้ดื่มน้ำบริสุทธิ์หรือน้ำที่ผ่านการกรอง เพื่อหลีกเลี่ยงท๊อกซินและโลหะหนักในน้ำประปา

7. มะเร็งแพ้สารเสริมอาหารที่มีประโยชน์ สารอาหารบางอย่างจะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน เพื่อช่วยให้เซลล์ของร่างกายสามารถกำจัดเซลล์มะเร็งได้ดีขึ้นได้โดยสารอาหารที่มีประโยชน์ เช่น วิตามินอี ทำให้การตายของเซลล์ซึ่งไม่เป็นที่ต้องการหรือไม่มีประโยชน์หมดออกไป เป็นต้น

8. มะเร็งแพ้จิตใจที่เข้มแข็ง มะเร็งเป็นโรคที่สัมพันธ์กับจิตใจ การคิดในเชิงบวกจะช่วยให้เราสามารถอยู่รอดปลอดภัยจากมะเร็งได้ ดังนั้น หากสามารถระงับความโกรธ รู้จักให้อภัย และกดความขมขื่นใจได้ ก็จะทำให้ร่างกายไม่ตึงเครียด ผ่อนคลาย และมีความสุขกับชีวิตได้มากขึ้น

9. เลือกวิธีรักษาผิดเสี่ยงตายได้ง่ายๆ การทำคีโมและการฉายรังสีอาจเป็นสาเหตุทำให้เซลล์มะเร็งกลายพันธุ์ ดื้อยา และยากต่อการทำลาย ส่วนการผ่าตัดก็อาจเป็นสาเหตุทำให้เซลล์มะเร็งกระจายไปทั่วร่างกายได้

จะเห็นได้ว่า การเป็นมะเร็งสามารถหายได้หากได้รับการรักษาหรือดูแลที่ถูกวิธี และจะต้องคอยสังเกตการเปลี่ยนแปลงของตัวเองอยู่เสมอด้วย…เพียงเท่านี้มะเร็งก็ไม่น่ากลัวแล้วละค่ะ

ที่มา www.thaijobsgov.com/jobs=63755
Advertisements

แจกสูตรหมูสามชั้นทอดกะปิ สูตรนี้แม่ค้าบอกว่า ขายดีจนทำไม่ทัน


แจกสูตรหมูสามชั้นทอดกะปิ สูตรนี้แม่ค้าบอกว่า ขายดีจนทำไม่ทัน
Advertisements

ต้องเตรียมอะไรบ้าง

1 หมูสามชั้นแล่เอาหนังออก 5 ขีด (หั่นชิ้น)

2 กะปิดี 1 ช.ต

3  น้ำปลาดี 1 ช.ช

4 น้ำมันสำหรับทอด

5 ใบมะกรูดฉีก , พริกขี้หนูแห้ง

วิธีทำ

1 หมักหมูกับกะปิและน้ำปลาขยำคลุกเคล้าให้เข้ากัน (ชิมกะปิดูก่อนนะคะ ถ้ากะปิเค็มมากไม่ต้องใส่น้ำปลา) หมักทิ้งไว้ 30 นาที

2 ตั้งกระทะใช้ไฟกลางใส่น้ำมันสำหรับทอด พอน้ำมันร้อนนำหมูสามชั้นที่หมักไว้ลงทอด ทอดไปเรื่อยๆจนสุกพอใจแล้วตักขึ้นพักไว้ให้สะเด็ดน้ำมัน จัดหมูใส่จาน

3 นำใบมะกรูดและพริกขี้หนูแห้งลงทอด เสร็จแล้วตักขึ้นใส่จานรับประทานเคียงกับหมูทอดกะปิ จะทานกับข้าวสวย ข้าวเหนียว หรือเป็นกับแกล้ม อร่อยมากค่ะ หอมกะปิมากๆๆๆ

ที่มา www.share-si.com/2017/01/blog-post_772.html
Advertisements

วันจันทร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2560

รู้ไว้จะได้รักษาทัน วิธีรับมือกับอาการปวดหัว 6 ชนิด ที่แตกต่างกัน


รู้ไว้จะได้รักษาทัน วิธีรับมือกับอาการปวดหัว 6 ชนิด ที่แตกต่างกัน
Advertisements

อาการปวดหัวเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้บ่อยๆในชีวิตประจำวันของเรา และเราต่างก็มีวิธีรับมือที่แตกต่างกันออกไป โดยทั่วไปแล้ว ผู้คนใช้ยาหรือวิธีรักษาทางธรรมชาติในการจัดการกับอาการปวดหัว แต่คุณควรรู้ว่าอาการปวดหัวเหล่านั้นไม่ใช่อาการเดียวกันเสมอไป อาการปวดหัวสามารถปรากฏได้หลากหลายรูปแบบ และเป็นเรื่องดีที่คุณจะได้รู้จักกับอาการทุกชนิดของมันและตระหนักถึงมันได้ด้วยการดูจากอาการ

ด้านล่างนี้คือ 6 ชนิดของอาการปวดหัวที่คุณอาจเคยเผชิญมาแล้ว

1.ปวดหัวคลัสเตอร์ อาการปวดหัวชนิดนี้สามารถเป็นได้ทั้งสองเพศ แม้มันจะไม่เกิดขึ้นบ่อย แต่การเกิดแต่ละครั้งจะรุนแรงมาก สาเหตุของอาการปวดหัวนี้ยังไม่เป็นที่แน่ชัด แต่มักจะเกี่ยวเนื่องกับเส้นประสาทหรือสมองที่มีความผิดปกติ ซึ่งแตกต่างจากอาการปวดหัวไมเกรนหรือความตึงเครียด อาการปวดหัวนี้มักจะเกิดขึ้นต่อเนื่องในบางช่วงเวลา ในด้านของอาการ คุณอาจจะรู้สึกหมดแรงหรือเจ็บปวดขั้นรุนแรง อาการปวดมักจะเกิดขึ้นตรงด้านข้างศีรษะหรือบริเวณรอบๆดวงตา

2. ปวดหัวบริเวณต้นคอ อาการปวดชนิดนี้ปกติแล้วจะเกิดขึ้นตรงต้นคอหรือส่วนท้ายทอยต่อจากศีรษะ จากนั้นอาการปวดจะย้ายไปที่หน้าผากและส่งผลกระทบต่อหูและบริเวณรอบดวงตา อาการปวดนี้เป็นถาวรและมีความรุนแรงแตกต่างกัน เราเรียกมันได้อีกอย่างว่าโรคปวดคอรวมกับปวดศีรษะ มันมักจะผสมกันระหว่างความตึงเครียดและอาการปวดหัวไมเกรน สาเหตุของอาการปวดนี้มาจากปัญหาเกี่ยวกับกระดูกสันหลังส่วนคอ ซึ่งเส้นประสาทสันหลังเส้นที่สามที่ออกมาจากไขสันหลังเกิดความเสียหายหรือเกิดการระคายเคือง ผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะปวดหัวแบบนี้มากกว่าผู้ชาย ผู้ป่วยประมาณ 15-20% บ่นเป็นเสียงเดียวกันว่าการปวดหัวด้านข้างเกี่ยวข้องกับโรคปวดคอรวมกับปวดหัว

3.ปวดหัวไมเกรน ไมเกรนเป็นที่รู้จักกันดีว่าคืออาการปวดหัว และจะเริ่มต้นด้วยอาการปวดเหมือนโดนเจาะศีรษะในตอนเช้า ซึ่งจะยกระดับความรุนแรงขึ้นตามการออกกำลังกายหรือการเคลื่อนไหวส่วนต่างๆของร่างกาย ซึ่งอาการจะประกอบไปด้วย: ไวต่อแสง กลิ่น หรือเสียง คลื่นไส้ อาเจียน เห็นเหมือนมีจุดลอยอยู่ข้างหน้า เป็นต้น การเกิดไมเกรนเป็นผลมาจากหลายปัจจัย แต่ปัจจัยที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งคือความเครียด ไมเกรนมักจะส่งผลต่อบุคคลที่มีอารมณ์ขุ่นมัวหรืออ่อนแอ บ่อยครั้งที่อาการปวดหัวชนิดนี้จะเกิดขึ้นระหว่างรอบประจำเดือน ปัจจัยอื่นที่อาจก่อให้เกิดอาการนี้ได้คือนิสัยการกินที่ผิดปกติ สูบบุหรี่และนอนไม่หลับ

4.ปวดหัวไซนัส การปวดหัวไซนัสเกิดขึ้นในบริเวณรูจมูกและทวีความรุนแรงขึ้นระหว่างดวงตา การขยับ โยกศีรษะหรือนอนลง ทำให้ความเจ็บปวดเพิ่มมากขึ้น ในกรณีที่คุณมีอาการปวดหัวประเภทนี้ แต่ไม่มีน้ำมูกไหล นั่นหมายความว่าคุณแค่ต้องจัดการกับอาการปวดหัวทั่วไปไม่เกี่ยวข้องกับไซนัส การปวดไมเกรนและไซนัสมักจะเกิดขึ้นพร้อมกัน และพวกมันสามารถเกิดขึ้นในเวลาเดียวกันได้อีกด้วย ไมเกรนแตกต่างจากไซนัสตรงที่ ไมเกรนเกิดจากปัญหาด้านการมองเห็น ซึ่งจุดนี้จะทำให้คุณเห็นความแตกต่างระหว่างพวกมันได้

5.ปวดหัว TMJ ผู้คนประมาณ 75 ล้านต่างได้รับผลกระทบจากอาการปวดหัวประเภทนี้ เพราะมันเป็นอาการเรื้อรัง บางครั้งอาการปวดไม่ได้เกิดบางเวลาเท่านั้น แต่เป็นตลอดเวลา อาการโดยทั่วไปคือ: ฟันบิ่นหรือฟันหัก การอุดฟันและการเปลี่ยนตำแหน่งหรือรูปร่างของรอยยิ้ม อาการเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะกล้ามเนื้อหดตัวและก่อให้เกิดความตึงเครียด เพื่อแก้ปัญหานี้ จะทำให้ร่างกายส่งเลือดจำนวนมากไปยังพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ แต่มันจะทำให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดความตึงตรงขากรรไกร คอและไหล่ อาการที่สำคัญอย่างอื่นคือการนอนกัดฟัน

6.ปวดหัวรุนแรง อาการนี้น่าจะเป็นอาการปวดหัวที่พบบ่อยที่สุด และทุกคนต่างเคยมีประสบการณ์กันทั้งนั้น โดยทั่วไปแล้ว มันจะกินเวลานานหลายชั่วโมงและส่งผลต่ออุณหภูมิในร่างกาย หน้าผาก แก้ม และคอ เมื่อผู้คนเกิดอาการนี้ พวกเขาจะรู้สึกว่าศีรษะปวด เหมือนถูกบีบ และมีความดันอยู่ในหัวซึ่งเกินจะทนไหว อย่างไรก็ตาม อาการปวดนี้จะเป็นในระดับปานกลาง แต่เนื่องจากปัจจัยบางอย่าง อาจทำให้กลายมาเป็นอาการปวดขั้นรุนแรงได้ โดยทั่วไปแล้ว อาการนี้มักจะเกิดขึ้นในตอนเช้าหรือตอนเย็น การกินยาหรือใช้วิธีรักษาทางธรรมชาติคือคำแนะนำในการรับมือกับอาการนี้

ที่มา www.share-si.com/2016/11/6_27.html
Advertisements

เช็คตัวเองบ้าง 7 สัญญาณเตือน ที่บอกว่ามีสารพิษสะสมในร่างกายคุณ



เช็คตัวเองบ้าง 7 สัญญาณเตือน ที่บอกว่ามีสารพิษสะสมในร่างกายคุณ
Advertisements

เมื่อเราเริ่มตระหนักว่าสุขภาพที่ไม่ดีของเรานั้น มาจากการตัวเลือกที่ไม่ดีในการใช้ชีวิต ทำให้ร่างกายของเรามีสารพิษสะสม เราจึงควรที่จะเริ่มต้นเปลี่ยนนิสัยของเราในแต่ละวันโดยการดีท็อกซ์ร่างกายเพื่อจำกัดสารพิษนั้นถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจตัวเลือกหนึ่ง และนี้คือสัญญาณเตือนว่าเราถึงเวลาที่จะต้องกำจัดสารพิษออกจากร่างกายของเราแล้ว

ปัญหาผิวหนัง หากคุณประสบปัญหาผิวแห้ง เป็นสิว หรือ ผื่นที่บริเวณผิวหนัง เป็นสัญญาณบอกว่าภายในร่างกายของคุณนั้นมีสารพิษตกค้างอยู่

แพ้อาหาร อาการแพ้อาหารบางชนิดเกิดจากการที่ลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ของเราเต็มไปด้วยสารพิษ ซึ่งอาจจะเกิดจากการที่เรารับประทานอาหารขยะทำให้มีไขมัน เกลือ และน้ำตาลที่มากเกินไปจนกลายเป็นพิษซึ่งส่งผลให้อาการภูมิแพ้ปรากฎขึ้น

ท้องผูก สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของอาการท้องผูกคือการที่ใยอาหารไม่เพียงพอ ทำให้ลำไส้ไม่สามารถขับของเสียออกจากร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ของเสียที่ตกค้างอยู่ในลำไส้นั้นทำให้ลำไส้เป็นพิษ

อาหารไม่ย่อย หนึ่งในสัญญาณที่บอกว่าสุขภาพของลำไส้ของเรานั้นอ่อนแอ เกิดก๊าซในกระเพาะเราจึงรู้สึกท้องอืด ทั้งนี้แบคทีเรียในลำไส้ของเรามีความไวต่อสารพิษเป็นอย่างมาก เมื่อเราได้รับสารพิษ เราจึงรู้สึกไม่สบายท้องและเกิดอาการอาหารไม่ย่อย

อาการปวดศีรษะ อีกหนึ่งสัญญาณที่บอกว่าร่างกายของเราต้องการการดีท็อกซ์นั้นคืออาการปวดศีรษะและไมเกรน

ปัญหาการนอนไม่หลับ การนอนหลับสนิทเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อสุขภาพร่างกาย ในขณะที่เรานอนหลับนั้นร่างกายของเราจะซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอและกำจัดสารพิษ ซึ่งการนอนไม่หลับนั้นเป็นสัญญาณว่าร่างกายของคุณต้องการการกำจัดสารพิษตกค้าง

อารมณ์แปรปรวน ปริมาณของสารพิษที่เราได้รับจากสภาพแวดล้อม หรือแม้แต่อาหารนั้น ในที่สุดก็จะเข้าสู่สมองของเราซึ่งส่งผลต่อสุขภาพจิต ทำให้เกิดภาวะซึมเศร้า หรืออารมณ์โกรธ

เอกสารอ้างอิง http://ageproofliving.com ข้อมูล...http://www.alifeclinic.com/7WarningSignsThatItsTime.htm
Advertisements

ระวัง ลุกจากที่นอนเร็วไป อาจหัวใจก็หยุดเต้นได้


ระวัง ลุกจากที่นอนเร็วไป อาจหัวใจก็หยุดเต้นได้
Advertisements

มีคนจำนวนมาก กลางวันไม่เป็นอะไร แต่พอกลางคืน กลับเสียชีวิต เนื่องจากกลางคืนลุกจากที่นอนไปเข้าห้องน้ำเร็วเกินไป การลุกจากที่นอนอย่างกระทันหันทำให้ขาดเลือดไปเลี้ยงสมอง ความดันโลหิตลดต่ำ จนวิงเวียนล้มลงไป บางคนถึงกับกระดูกกะโหลกศีรษะแตก ส่วนบางคน หัวใจมีปัญหา กลางวันเต้นเป็นปกติ แต่กลางคืนกลับขาดเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้หัวใจหดตัวเนื่องจากลุกจากที่นอนอย่าง กระทันหัน ความดันโลหิตลดต่ำลงขาดเลือด ไปเลี้ยงสมอง หัวใจก็หยุดเต้นได้ ถึงแม้จะไม่เสียชีวิตก็กลายเป็นโรคอัมพฤกษ์ไปก็มี

นักวิทยาศาสตร์ มักจะย้ำประโยคหนึ่งอยู่เสมอๆ ว่า “ครึ่งนาที 3 อย่าง และครึ่งชั่วโมง 3 อย่าง“ วลีนี้เป็นวลีสำคัญ ที่ไม่ต้องเสียเงินหามา แต่ช่วยลดจำนวนผู้เสียชีวิตได้ เป็นจำนวนมาก

ครึ่งนาที 3 อย่าง หมายถึง

1.เมื่อตื่นนอนขึ้นมาแล้ว อย่าลุกจากที่นอนในทันที ให้นอนไว้ก่อนครึ่งนาที

2.เมื่อนั่งขึ้นมาก็ให้นั่งอีกครึ่งนาที

3.แล้วเอาขาทอดไว้ที่พื้นอีกครึ่งนาที

ส่วนครึ่งชั่วโมง 3 อย่าง หมายถึง

1. ตื่นขึ้นมาตอนเช้า ควรออกกำลังกายครึ่งชั่วโมง (หนักเบา แล้วแต่ละบุคคล)

2. ตอนเที่ยง ควรนอนกลางวัน ประมาณ ครึ่งชั่วโมง ตอนบ่ายจะมีพละกำลังเต็มที่ (เพราะผู้สูงอายุมักจะตื่นนอนแต่เช้า กลางวันจึง ควรพักผ่อนให้มาก)

3. ตอนเย็น ผู้สูงอายุควรเดินช้าๆ สักครึ่งชั่วโมง จะทำให้ตอนกลางคืนหลับสบาย สามารถลดอัตราการเป็นโรคที่เกิดจากกล้ามเนื้อหัวใจตีบและความดันโลหิตสูงได้ เพราะว่าความรู้นี้ สอนคนได้ ช่วยคนก็ได้

4วิธีง่ายๆในการปฐมพยาบาลดังข้างล่างนี้

1.สำลักอาหาร วิธีจัดการ----แค่ยกมือขึ้นไป

2 ตกหมอน คุณเคยตื่นขึ้นมาตอนเช้าแล้วพบว่าตัวเองตกหมอนนั้นก็คือปวดคอ ถ้าหากตกหมอน คุณควรทำอย่างไร ถ้าหากตกหมอน แค่ยกขาขึ้นมา จับนิ้วโป้งของเท้าค่อยๆนวดและหมุนตามเข็มนาฬิกาหรือทวนเข็มนาฬิกา

3. ขาเป็นตะคริว เวลาขาซ้ายเป็นตะคริว ให้ยกมือขวาขึ้นสูงๆ เวลาขาขวาเป็นตะคริว ให้ยกมือซ้ายขึ้นสูงๆ จะรู้สึกสบายผ่อนคลายทันที

4. ขาชา ถ้าขาซ้ายชาสบัดมือขวาจาก.ช้าไปหาเร็ว ถ้าขาขวาชาก็สบัดมือซ้ายจากช้าไปเร็ว

CR Sasithorn
Advertisements

ไม่ป่วยง่าย ทำแล้วดีมากๆ ล้างจมูก ทุกวันช่วยลดภูมิแพ้ได้


ไม่ป่วยง่าย ทำแล้วดีมากๆ ล้างจมูก ทุกวันช่วยลดภูมิแพ้ได้
Advertisements

การล้างจมูก คือ การทำความสะอาดโพรงจมูกโดยการใส่หรือหยอดน้ำเข้าไปในจมูก การล้างจมูกจะช่วยชะล้างมูก คราบมูก หรือหนองบริเวณโพรงจมูก และหลังโพรงจมูกออก ทำให้โพรงจมูกสะอาด น้ำที่ใช้แนะนำให้ใช้น้ำเกลือความเข้มข้น 0.9% เนื่องจากมีคุณสมบัติช่วยลดความเหนียวของน้ำมูก และทำให้เชื้อโรคไม่เจริญเติบโต การล้างจมูกมีประโยชน์อย่างไร? ช่วยล้างมูกเหนียวข้นที่ไม่สามารถระบายออกได้เอง ทำให้โพรงจมูกสะอาด อาการหวัดเรื้อรังดีขึ้น ป้องกันการลุกลามของเชื้อโรคจากจมูกและไซนัสไปสู่ปอด ช่วยลดจำนวนเชื้อโรค ของเสีย สารก่อภูมิแพ้และสารที่เกิดจากปฏิกิริยาของร่างกายที่มีต่อสารก่อภูมิแพ้ ให้ความชุ่มชื้นแก่เยื่อบุจมูก บรรเทาอาการคัดแน่นจมูก ทำให้หายใจโล่งขึ้น บรรเทาอาการระคายเคืองในจมูก การล้างจมูกก่อนใช้ยาพ่นจมูกจะทำให้ยาพ่นจมูกมีประสิทธิภาพดีขึ้น

ควรล้างจมูกเมื่อไร? เมื่อมีน้ำมูกเหนียวข้นจำนวนมาก หรือ ก่อนใช้ยาพ่นจมูก

CleaningNose

เตรียมอุปกรณ์ที่ใช้ล้างจมูก น้ำเกลือความเข้มข้น 0.9% ซึ่งหาซื้อได้จากโรงพยาบาลหรือตามร้านขายยา (น้ำเกลือที่ใช้เหลือให้เททิ้ง ห้ามนำกลับมาใช้ใหม่ หรือเทกลับเข้าขวดน้ำเกลือเดิม)

ถ้วยสะอาดสำหรับใส่น้ำเกลือ

กระบอกฉีดยาพลาสติกขนาด 10-20 ซีซี (ไม่ใส่เข็ม)

ภาชนะรองน้ำจมูกและเสมหะ

กระดาษทิชชู

วิธีล้างจมูก

ล้างมือให้สะอาด

เทน้ำเกลือใส่ภาชนะที่เตรียมไว้ ใช้กระบอกฉีดยาดูดน้ำเกลือจนเต็ม

ฉีดน้ำเกลือเข้าไปในจมูก

วิธีฉีดน้ำเกลือเข้าไปในจมูก ก้มหน้าเล็กน้อย หรืออยู่ในท่าศีรษะตรง สอดปลายกระบอกฉีดยาเข้าไปในรูจมูกข้างที่จะล้าง โดยวางปลายกระบอกฉีดยาชิดรูจมูกด้านบน หายใจทางปากหรือกลั้นหายใจ ฉีดน้ำเกลือเข้าไปในจมูก จนน้ำเกลือและน้ำมูกไหลออกทางปาก หรือไหลย้อนออกมาทางจมูกอีกข้าง สั่งน้ำมูกพร้อมๆ กันทั้งสองข้าง (ไม่ต้องอุดรูจมูกอีกข้าง) บ้วนน้ำเกลือ และน้ำมูกส่วนที่ไหลลงคอทิ้ง บ้วนเสมหะในคอออก ทำซ้ำหลายๆ ครั้งในแต่ละข้างจนไม่มีน้ำมูกออกมา

(หมายเหตุ: วิธีนี้ต้องใช้น้ำเกลือล้างจมูกจำนวนมาก)

วิธีทำความสะอาด อุปกรณ์ที่ใช้ล้างจมูก

ล้างอุปกรณ์ที่ใช้ล้างจมูกให้สะอาดหลังการใช้ทุกครั้ง ด้วยน้ำสบู่หรือน้ำยาล้างจาน ล้างด้วยน้ำประปาจนหมดน้ำสบู่ ผึ่งให้แห้ง

ควรล้างจมูกบ่อยแค่ไหน?

อย่างน้อยวันละ 2 ครั้งช่วงตื่นนอนตอนเช้า และก่อนเข้านอน หรือเมื่อรู้สึกว่ามีน้ำมูกมาก แน่นจมูก หรือก่อนใช้ยาพ่นจมูก แนะนำให้ทำในช่วงท้องว่าง เพราะจะได้ไม่เกิดอาการอาเจียน

การล้างจมูกมีอันตรายหรือไม่?

ถ้าทำได้ถูกต้องและในเวลาที่เหมาะสมไม่น่าจะมีอันตราย อาจมีอันตรายเกิดขึ้นได้ เช่น การสำลัก การนำเชื้อเข้าไปในโพรงไซนัส ปัญหาการสำลักจะไม่เกิดขึ้น ถ้าได้เรียนรู้วิธีการล้างจมูกที่ถูกต้อง และควรล้างจมูกก่อนเวลารับประทานอาหาร หรือรับประทานอาหารแล้วอย่างน้อย 2 ชั่วโมงขึ้นไป เพื่อป้องกันการอาเจียนหรือสำลัก

ข้อควรระวัง

น้ำเกลือและอุปกรณ์ที่ใช้ล้างจมูกต้องสะอาด โดยเฉพาะน้ำเกลือไม่ควรใช้ขวดใหญ่ เพราะการเปิดทิ้งไว้และใช้ต่อเนื่องนานจนกว่าจะหมดจะทำให้มีเชื้อโรคสะสมอยู่ได้ โดยทั่วไปใช้ขวดละ 100 ซีซี เพื่อให้หมดเร็วจะได้ไม่กิดการติดเชื้อได้ง่าย นอกจากนี้ควรล้างจมูกเมื่อมีน้ำมูกเหนียวข้นจำนวนมาก (ถ้าน้ำมูกใส และมีจำนวนเล็กน้อยให้สั่งออกมา) หลังฉีดน้ำเกลือเข้าไปในโพรงจมูกให้สั่งน้ำมูกออกทันที ไม่ควรกลั้นหายใจเพื่อกักน้ำเกลือให้ค้างในจมูกนาน เพราะน้ำเกลืออาจจะไหลย้อนไปในไซนัส และการสั่งน้ำมูกให้สั่งเบาๆ และไม่ต้องอุดรูจมูกอีกข้าง เพราะอาจทำให้แก้วหูทะลุได้

ที่มาบทความจาก http://www.sukumvithospital.com/ ภาพประกอบจาก wikiHow
Advertisements

รู้แล้วห้ามทิ้ง เปลือกแก้วมังกร ป้องกันภาวะสมองเสื่อม ช่วยชะลอความแก่ ประโยชน์เพียบ


รู้แล้วห้ามทิ้ง เปลือกแก้วมังกร ป้องกันภาวะสมองเสื่อม ช่วยชะลอความแก่ ประโยชน์เพียบ
Advertisements

แก้วมังกร ผลไม้มากด้วยคุณค่าทางโภชนาการ และยังเป็นตัวช่วยชั้นเลิศของคนที่กำลังไดเอท เพราะเป็นผลไม้ที่มีปริมาณน้ำตาลน้อยสุดๆ เนื้อก็สุดแสนจะอร่อย แต่รู้หรือไม่คะว่า เจ้าแก้วมังกรนี้ ไม่ได้สามารถทานได้แค่เนื้อของมันเท่านั้นนะจ๊ะ เปลือกของมันก็ยังสามารถทานได้ แถมยังเปี่ยมไปด้วยคุณประโยชน์ไม่แพ้กันเลยทีเดียว ในเปลือกของแก้วมังกร เต็มไปด้วยสารเบต้าไซยานิน ซึ่งเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความแก่ ริ้วรอยต่างๆ ชะลอการเสื่อมสภาพของเซลสมองและช่วยป้องกันภาวะสมองเสื่อม นอกจากนี้ยังเต็มไปด้วย สารแอนโทไซยานิน มีวิตามิน A, B1, B2, C ธาตุเหล็ก และแร่ธาตุอื่นๆในปริมาณมากอีกด้วย

ทั้งนี้ยังมีเมนูหลากหลายในการทานเปลือกแก้วมังกร

1) รับประทานโดยตรง โดยใช้มีดคว้านเปลือกด้านในของแก้วมังกรออกมาทานได้ทันที

2) คั้นเป็นน้ำ อาจจะทำคล้ายๆกับน้ำผลไม้ โดยนำมาคั้นและใส่น้ำตาลเพิ่มรสหวาน ก็อร่อยไปอีกแบบ

3) ยำเปลือกแก้วมังกร เพียงแค่หั่นเปลือกแก้วมังกรเป็นเส้นๆ จากนั้นนำมาคลุกเคล้ากับน้ำมันงา(เล็กน้อย) เกลือ และซุปไก่สกัด คลุกเคล้าจนเข้ากันเป็นอันเสร็จเรียบร้อย

4) เปลือกแก้วมังกรชุบแป้งทอด นำเปลือกแก้วมังกรมาหั่นเป็นเส้นๆคล้ายเฟรนซ์ฟราย จากนั้นนำไปชุบแป้งแล้วทอดด้วยไฟแรง ก็จะได้เปลือกแก้วมังกรสุดกรุบกรอบไว้ทานเล่น หรืออาจจะทำน้ำยำไว้ราดเพื่อให้กลายเป็นยำเปลือกแก้วมังกรกรอบได้อีกด้วย

5) แกงส้มเปลือกแก้วมังกร ใช้วิธีทำแบบแก้งส้มทั่วไป แต่เพิ่มเปลือกแก้วมังกรหั่นเส้นเป็นส่วนผสมแทนผักอื่นๆได้

ประโยชน์อื่นๆจากเปลือกแก้วมังกร อาทิ ลิปสติก บรัชออน สีผสมอาหาร และยังใช้เป็นสีย้อมเซลทางวิทยาศาสตร์ได้อีกด้วย คุณประโยชน์เต็มเปี่ยมแบบนี้ ก็อย่าทิ้งเปลือกแก้วมังกรกันนะ เอามาทำเมนูอร่อยๆ ประโยชน์เต็มๆคำ เป็นผลไม้ที่มีประโยชน์แทบทั้งลูกเลยจริงๆนะเนี่ย!!

เนื้อหาจาก kaijeaw
Advertisements

บอกต่อกันไป แจกสูตรน้ำสมุนไพร แก้เข่าเสื่อม ปวดข้อ และชาตามแขน ขา


บอกต่อกันไป แจกสูตรน้ำสมุนไพร แก้เข่าเสื่อม ปวดข้อ และชาตามแขน ขา
Advertisements

ส่วนผสม น้ำ 40 % - มะนาว 5% - ใบย่านาง 50% - สับปะรด 5%

วิธีทำ ปั่นใบย่างแล้วกรองกากทิ้ง....ปั่นสับปะรดเอากากทิ้ง...แล้วนำมารวมกับน้ำใบย่านางที่ปั่นเตรียมไว้แล้ว หลังจากนั้นเติมน้ำมะนาวลงไป คนๆให้เข้ากันไว้รับประทาน ( ที่เหลือ แช่แย็นไว้ได้ 15-วัน ) ดื่มวันละ 2 ครั้งๆละ 30 ซีซีผสมน้ำ 1 แก้ว ก่อนอาหาร หรือระหว่างวันก็ดีค่ะ

กลุ่มอาการควรรับประทาน โรคอ้วน - โรคเก้าท์- ปวดข้อ- เข่าเสื่อม- มีไข้- เนื้องอกในเต้านม-ในมดลูก- ไขมันในเลือดสูง- อาหารเป็นพิษ-แผลในกระเพาะ- ภูมิแพ้- ไมเกรน-สิว-ฝ้า-กระสีน้ำตาล- เป็นตะคิวบ่อยๆ- ริดสีดวงทวาร- ตับแข็ง- ท้องบวมน้ำ- ไทรอยด์- มะเร็งต่างๆ- โลหิตจาง- ตาฟ้าฟาง- ความดันสูงหรือต่ำเกินไป - ลูคีเมีย -ชาตามแขน ขา - เหงือกอักเสบ - โรคหัวใจ - กรดไหลย้อน...

ที่มา...หมอปรียาภา แฟนเพจ
Advertisements

วันเสาร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2560

บอกต่อกันไป เผยวิธีต้านโรคมะเร็งด้วยเมล็ดองุ่น


บอกต่อกันไป เผยวิธีต้านโรคมะเร็งด้วยเมล็ดองุ่น

โรคมะเร็ง เป็นหนึ่งในโรคที่เป็นอันตรายมาก มีคนเป็นจำนวนนับล้านที่เสียชีวิตจากโรคนี้มันอาจจะเป็นเรื่องยากที่จะเอาชนะโรคร้ายแรงชนิดนี้ ถึงแม้ว่าจะได้รับการรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มแรกแล้วก็ตามแต่อาการของมันก็เลวร้ายมากขึ้นในภายหลัง โรคมะเร็งเป็นภัยเงียบที่คร่าชีวิตของคนเป็นจำนวนมาก ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่ควรละเลยและหมั่นสังเกตอาการของโรคอยู่เสมอ
Advertisements

เป็นที่เชื่อกันว่ามีการรักษาด้วยธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพมากในการป้องกันและกำจัดมะเร็ง แต่คนจำนวนมากมีข้อสงสัยและต้องการได้รับการแนะนำจากแพทย์ของพวกเขาแต่กลับไม่ได้รับคำตอบอย่างที่ต้องการ ในทางกลับกันมีคนค้นพบว่าเราสามารถรักษาโรคมะเร็งได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องเสียเงินเป็นจำนวนมากในการซื้อยาที่มีราคาแพงมากจากอุตสาหกรรมยาอีกต่อไป นักวิทยาศาสตร์ได้พบว่าเมล็ดองุ่นดีมากสำหรับใช้ต่อสู้กับโรคมะเร็งเนื่องจากพวกมันมีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่สูงมากที่สามารถทำให้เซลล์ของเรางอกขึ้นมาใหม่และจัดการกับปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในร่างกายของเรา ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยในยุโรปได้พิสูจน์ให้เห็นว่าเมล็ดองุ่นสามารถรักษามะเร็งได้ถึง 75% และไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงใดๆ กับผู้ที่ได้รับการรักษา

คุณสมบัติที่น่าอัศจรรย์ขององุ่นเป็นที่รู้กันมานานกว่าพันปีนับตั้งแต่ชาวอียิปต์ได้ค้นพบและชาวกรีกโบราณยังถือว่าผลไม้ชนิดนี้เป็นยาที่มีประสิทธิภาพมาก รวมถึงแพทย์ทางยุโรปได้ใช้เมล็ดพันธุ์ชนิดนี้มาทำเป็นโลชั่นสำหรับใช้รักษาผิวและโรคที่เกี่ยวกับตาอีกเช่นกัน เมล็ดองุ่นสามารถป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง เนื่องจากมันมีความเข้มข้นของสารต้านอนุมูลอิสระอยู่สูงมากปัจจุบันเราจึงเห็นผลิตภัณฑ์ธรรมชาติที่สกัดจากเมล็ดองุ่นในรูปแบบของแคปซูลวางขายอยู่อย่างมากมาย

วันนี้เราจะแสดงให้เห็นถึงวิธีการทำเมล็ดองุ่นง่ายๆ ด้วยตัวคุณเอง :

ส่วนผสม:

เมล็ดองุ่น 1 ถ้วย

ภาชนะแก้วที่มีฝาปิดหนึ่งใบ

ครก

ผ้าสำหรับทำความสะอาด

วิธีทำ:

เริ่มจากการล้างเมล็ดองุ่นให้สะอาดจากนั้นเช็ดให้แห้งด้วยผ้าสะอาด

ขั้นตอนต่อไปนำเมล็ดใส่ไว้ในจานและนำไปตากแดดให้แห้งประมาณสองถึงสามวัน

หลังจากนั้นนำมาบดในครกหรือจะใส่ไว้ในผ้าและบดก็ได้ตามที่คุณถนัด

เมื่อบดเรียบร้อยแล้วให้เก็บไว้ในภาชนะแก้วและเก็บไว้ในที่แห้งและเย็น

เราจะใช้ผงนี้วันละ 2 ครั้งผสมกับน้ำ หรือน้ำผลไม้เพื่อดื่ม

และโปรดจำไว้ว่าการรักษานี้ควรใช้เวลารักษาไม่เกิน 3 เดือน

อ้างอิง : yourhealthycupoftea.com แปลข้อมูลโดย : www.rak-sukapap.com
Advertisements

อาการนอนกรนเสียงดังจะหมดไป ลองดื่มสิ่งนี้ก่อนนอน มันช่วยคุณได้


อาการนอนกรนเสียงดังจะหมดไป ลองดื่มสิ่งนี้ก่อนนอน มันช่วยคุณได้
Advertisements

อาการนอนกรนเป็นปัญหาที่น่ารำคาญมากและมันอาจเป็นสัญญาณของโรคบางอย่าง เช่น โรคอ้วน ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และอื่น ๆ การนอนกรดทำให้เรานอนหลับไม่เพียงพอเนื่องจากมันส่งผลกระทบต่อจิตใจและการทำงานในสมองของเรา หากคุณกำลังทรมานจากการนอนกรนเรื้อรัง คุณอาจมีปัญหาเกี่ยวกับโพรงจมูกอาจเกิดการสะสมของเมือกในลำคอและทางเดินหายใจ รวมถึงปัจจัยอีกหลายอย่าง เช่น โรคภูมิแพ้ การติดเชื้อที่จมูก หรือแม้กระทั่งไข้หวัด การกำจัดเมือกจะช่วยขจัดปัญหาการนอนกรนและช่วยให้คุณนอนหลับดีขึ้น

น้ำผลไม้นี้ช่วยปรับปรุงสุขภาพโดยรวมของคุณและจัดการกับอาการนอนกรนได้เป็นอย่างดี มันเป็นเครื่องดื่มที่ช่วยป้องกันการสะสมเมือกในจมูกและลำคอและทำให้หายใจได้สะดวกยิ่งขึ้น

นี่คือวิธีการทำ:

ส่วนผสม

แอปเปิ้ล 2 ลูก

แครอท 5 หัว

ขิงขนาด 1 นิ้ว

มะนาว 1 ลูก

วิธีทำ

ขั้นตอนการทำง่ายมาก ให้คุณหั่นส่วนผสมทั้งหมดเป็นชิ้นเล็กๆ และใส่ลงในเครื่องปั่นผสมทุกอย่างจนเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นให้ดื่มน้ำผลไม้สูตรนี้เพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ของคุณ

อ้างอิง : yourhealthycupoftea.com แปลข้อมูลโดย : www.rak-sukapap.com
Advertisements

ลองดูนะ เผยวิธีกำจัดกลิ่นปากและฆ่าเชื้อแบคทีเรียอย่างได้ผล


ลองดูนะ เผยวิธีกำจัดกลิ่นปากและฆ่าเชื้อแบคทีเรียอย่างได้ผล

ลมหายใจที่ไม่สะอาดส่งผลกระทบต่อผู้คนนับล้านในปัจจุบัน แม้ว่าคุณจะแปรงฟันอย่างสม่ำเสมอแล้วก็ตาม ส่วนใหญ่สาเหตุนี้เกิดจากอาหารที่ติดอยู่ระหว่างฟันหรือแบคทีเรียในช่องปาก ไม่ว่าจะเหตุผลใดก็ตามการมีกลิ่นปากเป็นปัญหาที่ใครๆ ก็ไม่พึงประสงค์และมันยังเป็นเรื่องยากมากที่จะจัดการมัน มียาสีฟันและผลิตภัณฑ์บ้วนปากมากมายที่ขายตามท้องตลาดทั่วไป แต่ผลิตภัณฑ์เหล่านั้นมีราคาแพงและเต็มไปด้วยสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อช่องปากของเรา และนี่จึงเป็นเหตุผลที่เราจะขอแนะนำวิธีรักษาธรรมชาติที่จะช่วยให้คุณกำจัดกลิ่นปากให้หายไปได้อย่างง่ายดาย!

นี่คือวิธีทำและการรักษา:

ส่วนผสม

น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา

เบคกิ้งโซดา 1 ช้อนชา

น้ำอุ่น 1 ถ้วย

มะนาว 2 ซีก

อบเชย ½ ช้อนชา

วิธีทำ

บีบน้ำมะนาว อบเชย และน้ำผึ้ง ใส่ลงในถ้วยน้ำอุ่น และเติมเบคกิ้งโซดาลงไปประมาณ 1-2 ช้อนชาคนให้เข้ากัน จากนั้นกลั่วปากของคุณด้วยส่วนผสมนี้สัก 1-2 นาทีและคายออกมา

เนื่องจากอบเชยมีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรียที่ดีมากมันสามารถกำจัดเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของกลิ่นปากได้เป็นอย่างดี น้ำผึ้งมีคุณสมบัติเช่นเดียวกับเบคกิ้งโซดามันมีอัลคาไลน์ (alkalize) ที่ช่วยดูแลช่องปากและทำให้ฟันขาว ส่วนมะนาวจะเพิ่มกลิ่นหอมและยังช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่อยู่ตามซอกฟันของคุณอีกเช่นกัน

พยายามดูแลรักษาสุขภาพปากของคุณอย่างสม่ำเสมอเพื่อลมหายใจที่หอมสดชื่น!

อ้างอิง : yourhealthycupoftea.com แปลข้อมูลโดย : www.rak-sukapap.com

แจกสูตรซุปมะพร้าวแครอท กินช่วยป้องกันโรคมะเร็ง เพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน


แจกสูตรซุปมะพร้าวแครอท กินช่วยป้องกันโรคมะเร็ง เพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน

ซุปกระป๋องจะเต็มไปด้วยสารที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เช่น สารไบฟีนอล เอ BPA (เป็นสารเคมีที่รบกวนฮอร์โมนของคุณ) ผงชูรส โซเดียม สารกำจัดศัตรูพืช จีเอ็มโอ( GMOs ) และอื่นๆ

หากคุณเป็นคนใส่ใจสุขภาพคุณต้องลองทำซุปที่มีประโยชน์นี้? การทำซุปด้วยตัวคุณเองเป็นการลดความเสี่ยงจากสารอันตรายต่างๆ และยังปลอดภัยมากสำหรับตัวคุณ การทำซุปอาจดูเหมือนทำยาก แต่จริงๆ แล้วมันทำง่ายและรวดเร็วมากโดยเฉพาะเมื่อคุณพบสูตรที่คุณชอบ และนี่คือซุปแครอทมะพร้าวมันไม่เพียงแค่มีรสชาติอร่อยแต่มันยังทำง่ายโดยใช้เวลาเพียง 30 นาที อีกทั้งมันยังเต็มไปด้วยประโยชน์จากวิตามิน

ประโยชน์สูงสุดทีได้จากส่วนผสมของซุปแสนอร่อยนี้:

กะทิ –ทำมาจากเนื้อมะพร้าวและในน้ำกะทิมีกรดลอริก (lauric acid) กรดคาพริก (capric acid) สารต่อต้านจุลชีพ และลิพิด (lipid) ที่ทำหน้าที่ต้านเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา และเชื้อไวรัส

แครอท –การบริโภคแครอทขนาดกลางหนึ่งหัวเป็นประจำจะให้ประโยชน์อย่างมากมายต่อร่างกาย เพราะมันอัดแน่นไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซีและเบต้าแคโรทีนที่ช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

ขมิ้น -ขมิ้นมีประโยชน์อย่างมากในการลดการอักเสบเรื้อรัง ( ซึ่งอาการนี้สามารถนำไปสู่การเกิดโรคที่ร้ายแรงต่างๆ เช่นโรคมะเร็งและโรคหัวใจ )

กระเทียม –ในขณะที่กระเทียมสดสามารถช่วยรักษาโรคได้อย่างมากมายมันมีคุณสมบัติต้านมะเร็ง เพียงคุณบดกระเทียมและปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลา 10 นาทีก่อนนำไปปรุงอาหาร นอกจากนี้กระเทียมยังฆ่าเชื้อโรคและช่วยต่อสู้กับเชื้อไวรัสซึ่งจะเป็นประโยชน์มากเมื่อถึงฤดูหนาวสำหรับการป้องกันไข้หวัดใหญ่

น้ำซุปกระดูก –ในน้ำซุปมีสารอาหารที่สำคัญอยู่ เช่น คอลลาเจน โพรลีน ไกลซีน และ กลูตามีนที่ช่วยซ่อมเยื่อบุในลำไส้ พร้อมทั้งข่วยปรับปรุงสุขภาพและเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

ขิง –เป็นส่วนผสมที่มีคุณสมบัติต้านการอักเสบที่มีประสิทธิภาพและยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ลดอาการปวด ช่วยในการย่อยอาหาร ต่อสู้กับการติดเชื้อ และประโยชน์อื่น ๆ อีกมากมาย

เอาล่ะตื่นเต้นใช่มั้ยเมื่อถึงเวลาต้องมาทำซุปแสนอร่อยสำหรับฤดูใบไม้ร่วง! เราจะให้คุณทำซุปสูตรนี้และแบ่งเก็บไว้เป็นสองส่วนเก็บหนึ่งส่วนไว้ในช่องแช่แข็งสำหรับมื้ออาหารค่ำของคุณ

ซุปมะพร้าวแครอท

ส่วนผสม

น้ำมันมะพร้าว 1 ช้อนโต๊ะ

หัวหอมหั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า ½ หัว

แครอทปอกเปลือกและหั่น 1 ปอนด์ (ประมาณ. 4 ถ้วย)

เกลือทะเลและพริกไทยเพื่อเพิ่มรสชาติ

กระเทียมสับ 3 กลีบ และปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลา 10 นาที

ขมิ้น 1 ช้อนชา

ขิงหั่นบางๆ 2 ช้อนโต๊ะ

ซุปกระดูกหรือซุปผัก 3 ถ้วย

กะทิ ⅔ ถ้วย

วิธีทำ

ให้คุณใช้หม้อใบใหญ่และใส่น้ำมันมะพร้าว หอมใหญ่ และแครอท นำไปตั้งไฟด้วยความร้อนปานกลางผัดให้เข้ากันเป็นเวลา 5 นาที จากนั้นปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทย

เพิ่มขมิ้นและขิงตามลงไปและผัดต่ออีกหนึ่งนาที

เพิ่มน้ำซุปลงไปใช้ความร้อนต่ำค่อยๆ เคี่ยวไปเรื่อยๆ อีก 20 นาทีจนแครอทนุ่มและค่อยใส่กะทิและกระเทียม

จากนั้นใส่น้ำซุปของคุณที่ปรุงเสร็จแล้วลงในเครื่องปั่นและผสมจนเป็นเนื้อเดียวกัน

สุดท้ายปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทยเพื่อเพิ่มรสชาติและกินซุปแสนอร่อยนี้ได้เลย!

อ้างอิง : yourhealthycupoftea.com แปลข้อมูลโดย : www.rak-sukapap.com

เผยวิธีกำจัดเส้นเลือดขอดให้หายได้ ด้วยส่วนผสมที่หาง่ายๆนี้


เผยวิธีกำจัดเส้นเลือดขอดให้หายได้ ด้วยส่วนผสมที่หาง่ายๆนี้

เส้นเลือดขอดเป็นสิ่งที่ผู้หญิงทุกคนชิงชัง เพื่อช่วยให้ขาของคุณไม่ดูน่าเกลียดและน่ากลัวคุณต้องรู้วิธีกำจัดเส้นเลือดขอด ผู้หญิงส่วนใหญ่จะมีเส้นเลือดขอดที่ขาและในบทความนี้เราจะมาบอกวิธีกำจัดเส้นเลือดขอดให้หายไปตลอดกาลโดยการใช้ส่วนผสมง่ายๆ นี้! มันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นทันทีที่คุณได้เริ่มใช้ส่วนผสมนี้ มันแสนประหยัดและหาซื้อง่าย! ส่วนผสมที่คุณจะกำจัดเส้นเลือดขอดนั้นคือน้ำมันมะกอก! ให้คุณทำตามขั้นตอนเหล่านี้และนำไปใช้รักษาเส้นเลือดขอดที่ขาของคุณ: ก่อนที่คุณจะเริ่มต้นการรักษาด้วยวิธีนี้คุณต้องผลัดเซลล์ผิวของคุณก่อนเพื่อให้ส่วนผสมซึมเข้าสู่ผิวคุณได้อย่างง่ายดาย

วิธีนี้ใช้เวลาไม่นานให้คุณนำน้ำมันมะกอกใส่ถ้วยและนำเข้าไปอุ่นในไมโครเวฟ เมื่ออุ่นดีแล้วให้นำออกมาและนำไปถูนวดบริเวณที่ได้รับผลกระทบ ค่อยๆนวดไปเรื่อยๆ เพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ

เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ให้คุณเริ่มนวดจากข้อเท้าขึ้นมายังด้านบนของขา การนวดนี้จะช่วยควบคุมการไหลเวียนของเลือดในขาเส้นเลือดจะไม่เกิดการอักเสบอีกต่อไป ทำซ้ำขั้นตอนนี้ทุกวันเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์หรือจนกว่าคุณจะพอใจกับผลลัพธ์ที่ได้!

แปลข้อมูลโดย www.rak-sukapap.com

วันศุกร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ไม่อยากเป็นต้องทาน นี่คือ อาหาร 4 อย่างที่โรคไขข้ออักเสบกลัว


ไม่อยากเป็นต้องทาน นี่คือ อาหาร 4 อย่างที่โรคไขข้ออักเสบกลัว

โรคไขข้อกลัวอะไร ถ้าอยากรู้แค่ทานอาหารต่อไปนี้บ่อยๆ คนที่ป่วยเป็นโรคไขข้ออักเสบก็จะได้คำตอบเอง

เชอร์รี่สด งานวิจัยของกระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา (USDA) พบว่าผู้หญิงที่กินเชอร์รี่สดจะมีกรดยูริค ตัวการเกิดโรคไขข้ออักเสบลดลง เพราะในเชอร์รี่มีสารที่ช่วยขับกรดยูริคออกจากร่างกายทางปัสสาวะ ถึงราคาจะแพงไปนิดแต่ของเขาดีจริงๆ ค่ะ

อาหารจากถั่วเหลือง รวมไปถึงเต้าหู้ ถั่วแระญี่ปุ่น น้ำเต้าหู้ ไม่ใช่ว่าถั่วเหลืองมีสารที่ช่วยปราบโรคไขข้อ แต่เป็นเพราะเนื้อเป็นที่มาของกรดยูริคที่จะเข้าไปสะสมอยู่ที่ไขข้อ ทำให้เป็นโรคไขข้ออักเสบ เราจึงควรเปลี่ยนมาทานโปรตีนจากผักแทน ซึ่งก็หาได้จากผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองนี่เอง แต่ถ้ายังตัดใจจากเนื้อสัตว์ไม่ได้ งั้นลองเปลี่ยนมากินถั่วเหลืองแทนเนื้อสัตว์อาทิตย์ละ 2 วัน เท่านี้ก็ป้องกันไขข้ออักเสบได้มากแล้ว

ผักสีแดง ผักสีแดงทุกชนิดเป็นแหล่งขของไลโคปีน สารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดกรดยูริคได้ ผักสีแดงที่ทั้งดีทั้งถูกมีให้เลือกหลายชนิด เช่น แครอท มะเขือเทศ พริกหวาน น้ำมันมะกอก น้ำมันคาโนลา อะโวคาโด น้ำมันพวกนี้อุดมด้วยไขมันไม่อิ่มตัวที่จะเข้าไปสลายกรดยูริค แถมยังช่วยลดโคเลสเตอรอลให้เป็นของแถมอีกด้วย

น้ำเปล่า เห็นใสๆ ไม่มีสารอาหารแบบนี้ แต่น้ำเปล่านี่ล่ะคือยาที่ดีที่สุด น้ำจะเข้าไปล้างสารพิษในเลือดรวมทั้งกรดยูริค แล้วขับออกทางปัสสาวะ ถ้าช่วงไหนมีอาการปวดข้อปวดกระดูกอย่าลืมดื่มน้ำสะอาดให้ได้อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว แล้วอาการปวดที่กวนใจคุณก็จะลดลง

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : นิตยสาร Spicy

ไม่เชื่อต้องลอง สุดยอดเครื่องดื่มที่จะเปลี่ยนผิวพรรณคุณไปตลอดกาล


ไม่เชื่อต้องลอง สุดยอดเครื่องดื่มที่จะเปลี่ยนผิวพรรณคุณไปตลอดกาล

คุณอาจเคยได้ยินแล้วว่าการดื่มน้ำปริมาณมากจะช่วยทำให้ผิวพรรณของคุณมีสุขภาพดีและเปล่งปลั่งสดใส สาเหตุหลักคือเซลล์ผิวหนังประกอบไปด้วยน้ำและต้องทำหน้าที่อย่างเหมาะสมไม่ต่างจากเซลล์ส่วนอื่นๆของร่างกาย นอกจากน้ำจะเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งแล้วก็ยังมีเครื่องดื่มอื่นๆอีกที่มีประโยชน์ต่อผิวพรรณของเรา เครื่องดื่มเหล่านี้จะมีสารอาหารที่ช่วยบำรุงและปกป้องเซลล์ผิวรวมถึงซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ

1. น้ำมะพร้าว เมื่อเทียบกับเครื่องดื่มเกลือแร่แล้วถือว่าน้ำมะพร้าวนั้นดีต่อสุขภาพมากกว่า เนื่องจากน้ำมะพร้าวจะมีรสหวานตามธรรมชาติและไม่มีสารให้ความหวานเทียมด้วย นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งโพแทสเซียมซึ่งคนส่วนใหญ่มักจะขาดซึ่งเกิดจากการรับประทานผักและผลไม้ไม่เพียงพอ อย่างไรก็ตามข้อดีของน้ำมะพร้าวที่มีต่อผิวพรรณคือการอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งจะช่วยชะลอกระบวนการที่ทำให้ผิวแก่ก่อนวัย ล่าสุดได้มีการค้นพบสารอาหารในน้ำมะพร้าวที่มีประโยชน์ในทางการแพทย์ เช่น ไฟโตฮอร์โมนหรือฮอร์โมนพืช และหนึ่งในนั้นมีชื่อว่าทรานส์ซีเอตินซึ่งมีคุณสมบัติต่อต้านริ้วรอยและช่วยรักษาความอ่อนเยาว์

2. ชาเขียว เนื่องจากคาเฟอีนทำให้ร่างกายขาดน้ำเราจึงควรจำกัดปริมาณการบริโภคกาแฟ แต่ชาเขียวไม่ได้ให้ผลลัพธ์เช่นนั้นแถมยังอุดมไปด้วยโพลีฟีนอลซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลที่มีสรรพคุณต้านการอักเสบและต้านมะเร็ง มีการศึกษาหนึ่งพบหลักฐานว่าสาร EGCG ในใบชาเขียวอาจช่วยรักษาโรคผิวหนังบางชนิดได้ เช่น โรคสะเก็ดเงิน โรคสิวหน้าแดง แผลต่างๆ และแม้กระทั่งริ้วรอยเหี่ยวย่น นอกจากนี้สารโพลีฟีนอลยังมีคุณสมบัติป้องกันอันตรายและซ่อมแซมส่วนที่เสียหายจากแสงและการดื่มชาเขียวก็ช่วยป้องกันความเสียหายจากแสงแดดได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย นอกจากชาเขียวที่มีประโยชน์ในทางการแพทย์แล้วก็ยังมีชาชนิดอื่นที่ช่วยบำรุงผิวได้เช่นกันไม่ว่าจะเป็นชาดำ ชาสมุนไพรแดนดิไลออน และชาตำแย เป็นต้น

3. น้ำผักผลไม้สกัดเย็น น้ำผักผลไม้สกัดเย็นเป็นอีกวิธีที่จะช่วยเติมสารอาหารที่มีประโยชน์เข้าไปในร่างกาย น้ำผักผลไม้สกัดเย็นแตกต่างจากน้ำผลไม้ชนิดอื่นๆตรงที่ปราศจากการเติมน้ำตาล ไม่ผ่านกระบวนการความร้อนและแปรรูปมากเกินไป มีสารอาหารมากกว่า เช่น วิตามิน เกลือแร่ และเอ็นไซม์

อย่างไรก็ตามคุณค่าทางโภชนาการของน้ำผักผลไม้สกัดเย็นจะขึ้นอยู่กับส่วนผสมที่ถูกเลือกแต่โดยปกติผักและผลไม้ส่วนใหญ่ก็อุดมไปด้วยวิตามินต่างๆ เช่น วิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยบำรุงเซลล์ผิวอยู่แล้ว

เครดิต: http://issue247.com

วันพุธที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2560

แจกสูตรน้ำกะเพราสมุนไพร รักษาอาการท้องอืดกรดไหลย้อนได้ดีมาก


แจกสูตรน้ำกะเพราสมุนไพร รักษาอาการท้องอืดกรดไหลย้อนได้ดีมาก

ตอนนี้ ผมหายป่วยจากโรคท้องอืด โรคกรดไหลย้อนแล้ว ตัวผมเองหายป่วยจากโรคนี้ภายใน 1 เดือน และระหว่างที่ผมดื่มน้ำกะเพรานี้ ผมไม่ได้ทานยาเคมีสังเคราะห์เลยสักเม็ดเดียว ปัจจุบันนี้ (26/12/2552) ผมก็ยังไม่เป็นโรคนี้ซ้ำ เพราะว่าผมพยายามรับประทานอาหารอย่างเคร่งครัด และผมจะไม่ทานยาคลายกล้ามเนื้ออีกต่อไป ที่จริง ผมคิดว่า ผมน่าจะหายจากโรคท้องอืด กรดไหลย้อนนี้ภายใน 10 - 15 วัน แต่พอดีว่า มีอยู่วันหนึ่งที่คิดว่าจะหายจากโรคนี้สนิทนั้นแหละ (ประมาณวันที่ 11 - 12) ผมได้ทานอาหารรสเผ็ดจัด ทำให้วันนั้นเกิดอาการท้องอืด อาหารไม่ย่อย ท้องร้องป๊อกๆๆๆ (กดท้องลงไปเหมือนลูกโป่ง จุกที่ลิ้นปี่) มีอาการรุนแรง เหมือนตอนเริ่มท้องอืดใหม่ๆ ขึ้นอีกครั้ง (จะหายแล้ว แต่ดันไปทานอาหารไม่เหมาะ ทำให้เป็นโรคขึ้นมาใหม่)

อาการเตือนเบื้องต้นก่อนจะเป็นโรคท้องอืด (สังเกตจากตัวผมเอง)

1. มีอาการเรอหลังรับประทานอาหารเสร็จใหม่ๆ และเริ่มเหม็นเปรี้ยวขึ้นเรื่อยๆ หรือเรอเมื่อยังไม่ได้ทานอาหาร (เรอก่อนทานอาหาร เรอขณะท้องว่าง)

2. ไม่มีการผายลมมาหลายวัน

3. เริ่มรู้สึกปวดท้องเล็กๆน้อยๆ หลังจากกินอาหารเสร็จ เริ่มจุกที่ลิ้นปี่

สูตรนี้ได้มาจาก นพ.เปี่ยมโชค ชลิดาพงศ์ (ซึ่งผมฟังต่อๆกันมาจากเพื่อนๆอีกที)

วิธีทำน้ำกะเพรา

1. นำกะเพรา 1 กำ (ทั้งลำต้นและใบ) ประมาณ 1 ขีด มาล้างให้สะอาดด้วยน้ำจุลินทรีย์ EM (แช่ 1 ช.ม.) หรือน้ำยาล้างผักเพื่อล้างยาฆ่าแมลงออก (ปัจจุบันนี้ พ.ศ. 2553 ผมปลูกต้นกะเพราขาวและต้นกะเพราแดงไว้ที่หน้าบ้านด้วยครับ)

2. ใส่น้ำ 2 - 3 ลิตรลงในหม้อ นำกะเพราใส่ลงไปทั้งหมด ทั้งลำต้นและใบ

3. ปิดฝาหม้อ ใช้ไฟปานกลางค่อนข้างอ่อน ต้มประมาณ 15 - 20 นาที พอน้ำเดือดปุ๊บให้ปิดแก๊สทันที ข้อมูลเพิ่มเติมจากประสบการณ์ของผม หากใช้ไฟอ่อนเกินไป ฤทธิ์ยาในกะเพราจะไม่ออกมา ควรกะปริมาณไฟที่ต้ม ให้น้ำเดือดภายใน 15 - 20 นาที

4. ดื่มหลังอาหาร 1 แก้ว 250 ml (อ่านตรง ปล. ต่อ)

5. ถ้าน้ำกะเพราเย็นลง หรือ ดื่มไม่หมด ไม่ต้องอุ่นหรือต้มซ้ำ ให้แช่เย็นไว้ดื่ม เพื่อไว้ดื่มได้หลายๆวัน ข้อมูลเพิ่มเติม สำหรับคนธาตุเย็น อย่างเช่นตัวผมเอง ผมจะไม่ดื่มน้ำกะเพราเย็น แต่จะตั้งน้ำกะเพราทิ้งไว้ให้หายเย็นก่อน แล้วค่อยดื่ม เพราะหลังรับประทานอาหาร ถ้าผมดื่มน้ำเย็นหรือทานของเย็นๆ ผมจะท้องอืดอาหารไม่ย่อยครับ

ปล.

1. ถ้าใช้กะเพราแดงจะได้ผลดีกว่า

2. จำไว้ว่า กะเพราเป็นสมุนไพรธาตุร้อน ถ้าดื่มน้ำกะเพราไปแล้วเกิดอาการร้อนใน ให้ลดปริมาณน้ำกะเพราลง

3. อาการหนักประมาณ 6 - 8 แก้ว และหลังจากวันแรกที่ดื่ม ถ้าอาการทุเลาให้ลดปริมาณน้ำกะเพราลง ดื่มเฉพาะหลังอาหาร มื้อละ 1 - 2 แก้ว แต่ไม่ควรเกิน 4 แก้วต่อวัน

4. ยาสมุนไพรไทย ใช้เวลารักษานานถึงจะหาย ต้องกินเป็นประจำสม่ำเสมอ โดยไม่ต้องทานยาเคมีสังเคราะห์เข้าช่วยเลย

ประโยชน์ของกะเพรา

กะเพราช่วยขับลม เป็น Buffer ปรับสมดุลกรดในกระเพาะอาหาร ช่วยเร่งการย่อยอาหาร ได้ผลดีเยี่ยมกับคนที่เป็นโรคในลำไส้เล็ก เช่น จุกเสียดในลำไส้เล็ก (โรคนี้เวลาเป็นเหมือนถูกแทงด้วยหลาว นั่งอยู่ดีๆก็เจ็บเหมือนถูกแทง หรือถูกต่อย)

น้ำกะเพราเหมาะสำหรับคนที่เป็นกรดไหลย้อนที่มีอาการท้องอืดร่วมด้วยเป็นประจำ

การดูแลตนเองสำหรับผู้ที่มีอาการท้องอืด จุก เสียด แน่นเฟ้อ และกรดไหลย้อน (ข้อมูลนี้ได้มาจากประสบการณ์ของผู้ป่วย)

1. รับประทานแต่อาหารที่มีประโยชน์ ไม่ทานลูกอมรสต่างๆ เช่น รสเปรี้ยว ที่ผสมสารสังเคราะห์

2. ไม่รับประทานอาหารที่มีรสเผ็ดและเปรี้ยว แม้เพียงเล็กน้อย (ข้อนี้สำคัญ)

3. ไม่รับประทานอาหารมัน เช่น กล้วยแขก มันทอด ปอเปี๊ยะทอด และของหมักดอง เช่น ผลไม้ดองต่างๆ (ข้อนี้สำคัญ)

4. ไม่ควรรับประทานอาหารรสหวาน ที่มีน้ำตาลปริมาณมาก เช่น ขนมหวาน, น้ำหวาน, น้ำอัดลม (ข้อนี้สำคัญ)

5. งดดื่มเหล้า และสูบบุหรี่ ชาและกาแฟก็ควรงด (ข้อนี้สำคัญ)

6. ไม่รับประทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์เป็นจำนวนมาก ควรทานเนื้อปลา หรือถั่ว (ข้อนี้สำคัญ)

7. ควรรับประทานผัก เน้นเป็นผักต้ม (ผักสดควรรับประทานแต่น้อย) เพื่อให้มีการขับถ่าย ไล่ลมออก จุลินทรีย์ได้ทำงาน (ข้อนี้สำคัญ)

8. ไม่ควรรับประทานผลไม้ประเภทย่อยยาก เช่น ฝรั่ง, มะม่วง

9. ควรทานผลไม้ประเภทย่อยง่าย และมีกากใยสูง และไม่มีน้ำตาล ผลไม้ที่แนะนำ เช่น ส้ม ชมพู่ แตงไทย แคนตาลูป และห้ามทานฝรั่ง แตงโม แก้วมังกร มะเขือเทศโดยเด็ดขาด

10. เคี้ยวอาหารให้ละเอียด ประมาณ 100-200 ครั้งต่อ 1 คำ หรือ 3 นาทีต่อ 1 คำ (ข้อนี้ช่วยได้มาก)

11. ไม่รับประทานอาหารจนเต็มกระเพาะอาหาร (ข้อนี้สำคัญเช่นกัน)

12. ใช้เวลารับประทานอาหารในแต่ละมื้อประมาณ ครึ่ง - หนึ่งชั่วโมง

13. หลังรับประทานอาหารเสร็จ ให้ดื่มน้ำเปล่าแต่น้อย หลังจากนั้นอีกประมาณ ครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมงให้ดื่มน้ำกะเพรา เพราะน้ำกะเพราจะช่วยขับลม และช่วยเร่งการย่อยอาหาร (ข้อนี้สำคัญ)

14. แกว่งแขนหลังรับประทานอาหารเสร็จในแต่ละมื้อ ช่วยให้กระเพาะอาหารและลำไส้มีการเคลื่อนไหว (ข้อนี้สำคัญมากๆเช่นกัน)

15. ตอนเย็นให้รับประทานอาหารย่อยง่ายๆเท่านั้น เช่น โจ๊ก, ข้าวต้ม (ข้อนี้สำคัญมากๆเช่นกัน)

16. ทานอาหารเสริมประเภทเพิ่มจุลินทรีย์ในลำไส้ ไม่ควรทานนมเปรี้ยวหรือโยเกริต์ เนื่องจากนมทำให้บางท่านท้องอืดได้

17. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เช่น วิ่งทุกเช้า หรือวิ่งในช่วงเย็น อย่างน้อย 2.0 - 3.0 กิโลเมตร หรือเดินในช่วงเย็น เพื่อให้ลำไส้มีการเคลื่อนไหว (ข้อนี้สำคัญ)

18. อดทนในเรื่องไม่ทานอาหารจุกจิก ไม่เป็นเวลา ไม่เป็นมื้อ สหายธรรมของผมที่เป็นคนสูงอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป ทุกคนรักษาโรคนี้ด้วยการทานอาหารเป็นมื้อทั้งหมดทุกคนครับ (ข้อนี้สำคัญเช่นกัน)

19. ท่องไว้ในใจเสมอว่า “การไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ” มีเงินทำไม ถ้าไม่ได้ใช้เงินให้เกิดประโยชน์

ถ้าเป็นโรค ใช้เวลาและเงินดูแล - ซื้อสุขภาพจะดีกว่า เช่น ออกกำลังกาย ทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ ก็เพียงพอแล้วครับ

ป.ล. เกือบ 2 ปีแล้วครับ ที่ผมไม่ได้เป็นโรคท้องอืด กรดไหลย้อนเลยครับ เพราะผมเคร่งครัดในการรับประทานอาหาร ปรับปรุงพฤติกรรมใหม่ทั้งหมดอย่างเคร่งครัด

แชร์เป็นธรรมทาน ข้อมูลดีๆจาก นพดล อุ่นตา

เผย 10 อาหารที่กินผิดเวลาไม่เป็นผลดีกับร่างกาย รู้ไว้บ้าง


เผย 10 อาหารที่กินผิดเวลาไม่เป็นผลดีกับร่างกาย รู้ไว้บ้าง

เทรนด์สุขภาพนี่ไม่ตามไม่ได้ แต่ก็ต้องพิจารณากันสักนิด อย่าพากันผิดไปทั้งโซเชี่ยลเลยนะ อะไรถูก อะไรผิด ตรวจสอบกันสักนิด เริ่มตรงนี้กันก่อนเลย กับการกินเพื่อสุขภาพที่ดีกว่าจริง ๆ อะไรที่รู้มา มันอาจจะไม่ใช่ก็ได้นะ

เมนู 1 แอปเปิ้ล ห้ามกินก่อนนอน อาจอุดมไปด้วยไฟเบอร์ และคุณค่ามากมาย แต่กินตอนเช้าจะดีกว่าเยอะ เพราะแอปเปิ้ลช่วยลดคลอเลสเตอรอล และช่วยลดน้ำตาลในเลือด ส่วนเหตุผลที่ห้ามกินในมื้อเย็นก็เพราะ ตอนนอนจะย่อยลำบากไปไหมเพราะไฟเบอร์ก็สูง แล้วไหนจะไปเพิ่มกรดในกระเพราะอีกด้วย

เมนู 2 โยเกิร์ต สำหรับมื้อเย็นจะดีกว่ามื้อเช้า ก็มื้อเช้านี่ควรเป็นมื้อที่ให้ความอิ่มหน่อยนะคะแค่โยเกิร์ตนั้นไม่เพียงพอ จะทำให้เกิดกรดในกระเพาะได้ แต่สำหรับมื้อเย็นนั้นสบายเลย ย่อยง่าย หลับสบายแน่นอน ใครหิวตอนดึกก็หยิบออกจากตู้เย็นมาทานได้ด้วยนะ

เมนู 3 มันฝรั่ง สำหรับมื้อเช้า เพราะมันฝรั่งนั้นอุดมไปด้วยแร่ธาตุและคลอเลสเตอรอลต่ำ แต่ก็จะอิ่มแน่นท้องเกินไป แคลอรี่สูงเกินที่จะรับประทานเป็นมื้อเย็น

เมนู 4 มะเขือเทศ สำหรับมื้อเช้าไม่ใช่มื้อเย็น มะเขือเทศจะช่วยไปกระตุ้นระบบเผาผลาญให้ทำงานได้ดีขึ้น แล้วช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ยามเช้า แต่สำหรับมื้อเย็นนั้น หยุดเลย! กระเพาะของคุณจะมีกรดมากเกินไปค่ะ

เมนู 5 เนื้อสัตว์ สำหรับมื้อเที่ยง เพราะเนื้อสัตว์อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก ที่ช่วยทำให้ร่างกายไม่อ่อนล้าอ่อนเพลีย ช่วยต้านทานโรคด้วย แต่ถ้าเลือกกินเนื้อตอนเย็นจะนอนตอนไหนได้ล่ะ ก็เนื้อสัตว์ใช้เวลาย่อย 5-6 ชั่วโมง แล้วยังไปทำลายระบบย่อยอาหารของพวกเราอีก

เมนู 6 ถั่ว สำหรับมื้อเที่ยง ถั่วนั้นมีประโยชน์เพียบ ช่วยลดน้ำตาลในเลือดและช่วยให้หัวใจแข็งแรง แต่ถ้าไปรับประทานเป็นมื้อเย็นก็จะอ้วน เพราะไขมันสูงอยู่นะคะ

เมนู 7 ดาร์คช็อคโกแลต สำหรับมื้อเช้า ไม่ใช่ขนมจุกจิก ดาร์คช็อคโกแลตจะช่วยให้คุณแก่ช้าลง เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ แต่ถ้าเอาไว้ทานเล่นตลอดทั้งวันก็ต้องระวังอ้วนด้วยนะคะเพราะไขมันเยอะเลย

เมนู 8 ข้าว สำหรับมื้อกลางวัน ไม่ใช่มื้อเย็น ข้าวนั้นคือคาร์โบไฮเดรต ช่วยให้เรามีพลังในการใช้ชีวิตไปทั้งวัน แต่ถ้าทานเป็นมื้อเย็นก็ไม่เหมาะกับคนที่อยากลดน้ำหนักหรอกนะคะ

เมนู 9 ส้ม ดีสำหรับทานเล่นได้ทั้งวัน แต่ไม่ใช่สำหรับมื้อเช้า มื้อเช้าเราต้องอิ่ม และการกินส้มอย่างเดียวเลย จะไปทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะ แต่คุณสามารถทานส้มได้ตลอดทั้งวัน เพราะจะไปช่วยระบบย่อยให้ทำงานดีขึ้น แล้วยังช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญ

เมนู 10 กล้วย สำหรับมื้อเที่ยง ไม่ใช่มื้อเย็น ใครชอบทานกล้วยเธอจะผิวสวย แล้วยังเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรง แต่นี่คือทานเป็นมื้อกลางวัน ส่วนมื้อเย็นลืมไปได้เลย จะทำให้เกิดเสมหะ แล้วยังไปรบกวนการทำงานของระบบย่อยอาหาร ไม่เอาดีกว่าเนอะ

เห็นหรือยังว่า จริง ๆ แล้วกินยังไงกันแน่ให้ถูกต้อง ทราบแล้วเปลี่ยนเลยนะ!

อ้างอิง www.cosmenet.in.th

หน้าใสไม่มีหลุม เผยวิธีกระชับรูขุมขนแบบเร่งด่วน


หน้าใสไม่มีหลุม เผยวิธีกระชับรูขุมขนแบบเร่งด่วน

การดูแลผิวหน้าที่เยอะเกินไปแต่ไม่ค่อยระวัง บางครั้งอาจทำให้เกิดปัญหารูขุมขนกว้างขึ้น โดยเฉพาะสาว ๆ วัยปลายสามสิบถึงต้นสี่สิบที่เพิ่งเผชิญกับปัญหารูขุมขนกว้าง แต่เอ๊ะ! บางวันมันก็กระชับ นั่นเพราะรูขุมขนกว้างเกิดจากหลายสาเหตุและเกิดขึ้นจากบางภาวะของร่างกายเราเอง ใครหน้ามันก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้ง่ายกว่าคนหน้าแห้งอีกต่างหาก แต่ข้อดีของคนหน้ามันก็คือหน้าไม่แห้ง เอ๊ะ! ไม่ใช่นะ! คือหน้ามันก็จะชุ่มชื้นกว่าไง แต่ถ้ารูขุมขนกว้างก็ไม่ดีนะ ดังนั้น วิธีกระชับรูขุมขนจึงมีทั้งแบบดูแลตัวเองระยะยาว และแบบเร่งด่วน

ดูแลแบบเร่งด่วน

Step 1 : บีบน้ำมะนาว 1-2 ผล ผสมน้ำอุณหภูมิปกติ ½ ถ้วย

Step 2 : ใช้ผ้าขนหนูผืนเล็ก หรือสำลีชุบน้ำมะนาวให้ชุ่ม

Step 3 : วางโปะบนใบหน้าทิ้งไว้ 1 นาที

Step 4 : ล้างหน้าด้วยน้ำอุณหภูมิห้อง

Step 5 : มาส์กหน้าด้วยโยเกิร์ตรสธรรมชาติอีก 5 นาที (ช่วยต้านเชื้อแบคทีเรียทำให้เกิดสิว)

Step 6 : ล้างออกด้วยน้ำสะอาดอุณหภูมิห้อง

ดูแลระยะยาว

1. ล้างหน้าด้วยน้ำอุณหภูมิห้อง

2. ประคบผิวหน้าด้วยน้ำแข็งทุกวัน เบา ๆ มือด้วย

3. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับคนผิวมันโดยเฉพาะ

4. ล้างหน้าให้สะอาดเสมอก่อนนอน และควรล้างหน้าให้บ่อยกว่าคนผิวแห้งแต่ไม่ควรเกิน 3 ครั้งต่อวัน

5. แป้งควบคุมความมัน ควรมีติดกระเป๋า เอาไว้เติมระหว่างวัน พร้อมอุปกรณ์ทำความสะอาดใบหน้าระหว่างวันสำหรับคนผิวมัน

สามารถทำได้วันเว้นวัน จะกระชับผิวหน้าดีขึ้นภายใน 1 สัปดาห์ เอ็นไซม์ธรรมชาติและวิตามินซีในน้ำมะนาวจะช่วยให้รูขุมขนกระชับขึ้น อีกผิวขาวใสขึ้นอีกด้วย ถึงเวลาต้องดูแลผิวหน้าให้ถูกวิธีกันแล้ว ปฏิบัติด่วน!

ขอขอบคุณเนื้อหาจาก : cosmenet.in.th/ wikihow.com

วันอังคารที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2560

เคล็บไม่ลับ แนะผัดผักให้อร่อยต้องทำอย่างไร มาดูกัน!


เคล็บไม่ลับ แนะผัดผักให้อร่อยต้องทำอย่างไร มาดูกัน!

ก่อนหน้านั้นนึกไม่ออกหรอกว่าอาหารเจจะอร่อยยังไง ผัดผัก ผัดเต้าหู้ ผัดแป้ง ใส่เครื่องปรุงอะไรก็ไม่ได้มากมาย ผัดสดๆ ผัดเสร็จกินเลยยังพอไหว แต่ประเภทผัดใส่ถาดไว้ตักขายแบบร้านข้าวแกง แค่นึกถึงก็ไม่ชวนให้อยากกินแล้ว เมื่อคนเขากินผัก ก็คิดจะกินผักบ้าง แต่อย่างว่า สำหรับคนในชนชั้นจะกินผักทั้งทีจะต้องหากันหน่อยว่า "ร้านไหนผัดผักอร่อย"

นึกถึงตรงนี้ ทำให้คิดถึงเพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งที่เป็นเจ้าของร้านอาหารชื่อดังไม่น้อย

เคยคุยกันเรื่องเมนูผัก

เพื่อนรุ่นน้องที่เชี่ยวชาญการปรุงอาหารเล่าให้ฟังว่า "การผัดผักให้อร่อยนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ออกจะจัดอันดับไว้ในเมนูยาก ท้าทายฝีมือกุ๊กได้ดีทีเดียวว่าทำอาหารเป็นหรือไม่" จะเห็นว่าผัดผักส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในร้านข้าวแกงทั้งหลายไม่ให้ความรู้สึกอร่อย มันเละๆ เหี่ยวแห้ง แหยะๆ หรือที่เรียกว่า "เซ็ง" "ที่เป็นอย่างนี้เพราะไม่รู้หัวใจของผัดผัก" เพื่อนเล่า "ผักจะอร่อยได้เคล็ดลับอยู่ที่สุกทั่วแล้วแต่กรอบเหมือนผักดิบ"

เพื่อนบอก และว่า "ตรงนี้แหละต้องมีเทคนิค การใช้เตาที่ไฟแรงสร้างอุณหภูมิสูงๆ โยนผักใส่แค่สะดุ้งไฟก็สุกทันทีแต่ยังเขียวกรอบเหมือนสด การพรมน้ำให้แค่รักษาอุณหภูมิกระทะไม่ใช่เทน้ำใส่เป็นผักต้ม หรือการหยุดความสุกด้วยการตักขึ้นมาใส่อ่างน้ำแข็ง ล้วนเป็นเทคนิคที่มีเป้าหมายเดียวกันคือ ทำให้สุกแต่ยังเขียวกรอบเหมือนผักสด"

ผักแต่ละอย่างใช้เทคนิคไม่เหมือนกัน และจะว่าไปกุ๊กหรือพ่อครัวแต่ละคนต่างมีเทคนิคส่วนตัวที่จะใช้

"ไม่ใช่เรื่องซับซ้อนอะไรหรอก เพียงแต่รู้ว่าของอร่อยเป็นอย่างไร แต่ละคนก็ไปหาวิธีการของตัวเองมาว่าทำอย่างไรถึงจะได้อย่างนั้น จะให้เกิดวิธีการแตกต่างไปหลากหลายแต่เป้าหมายเดียวกัน"

เพื่อนเล่าให้ฟัง และสรุปว่า สังเกตุเถอะ "ผักที่ผัดใหม่ๆ อย่างไรเสียก็อร่อยกว่าผักที่ผัดมาทิ้งรอไว้นานๆ ผัดผักร้านอาหารตามสั่งอร่อยกว่าที่ร้านข้าวแกง โต๊ะจีนที่ทำสดๆ อร่อยกว่าอาหารบุฟเฟต์"

ขอขอบคุณเนื้อหาจาก : matichon.co.th

งานวิจัยชี้ชัด 5 เหตุผลที่เราควรแต่งงานช่วงอายุ 28-32 ปี เพื่อชีวิตคู่ที่ดี


งานวิจัยชี้ชัด 5 เหตุผลที่เราควรแต่งงานช่วงอายุ 28-32 ปี เพื่อชีวิตคู่ที่ดี

นิค วูล์ฟฟิงเกอร์ นักสังคมวิทยาจากมหาวิทยาลัยยูทาห์ สหรัฐฯ พบว่า ช่วงอายุที่เหมาะสมสำหรับการเริ่มต้นชีวิตคู่คือ 28-32 ปี เขาพบว่าคู่แต่งงานที่อยู่ในช่วงวัยนี้มีอัตราการหย่าร้างต่ำกว่าผู้ที่แต่งงานในช่วงวัยอื่น โดยเฉพาะในช่วง 5 ปีแรกหลังจากแต่งงานมีอัตราการแยกทางน้อยมาก

มาดูกันว่าเหตุผลที่เราควรแต่งงานช่วงนี้เป็นเพราะอะไร

1 คนวัยนี้โตพอที่จะรู้เท่าทันความรู้สึกของตัวเองว่าเข้ากับอีกฝ่ายหนึ่งได้จริงหรือเป็นแค่ความพลุ่งพล่านของฮอร์โมน

2 ช่วงวัยนี้ เขาหรือเธอได้เลือกเส้นทางชีวิตที่ตัวเองต้องการแล้ว และเริ่มมีความรับผิดชอบต่อเรื่องต่างๆ

3 มีความมั่นคงทางการเงินในระดับหนึ่ง

4 ยังสามารถที่จะปรับตัว ปรับนิสัย ไลฟ์สไตล์ การใช้ชีวิตประจำวัน ฯลฯ ให้เข้ากับอีกฝ่ายได้อยู่แบบสบาย ไม่ต้องฝืนอะไรมาก

5 ส่วนมากคนวัยนี้ยังไม่เคยแต่งงานหรือมีลูกติด ทำให้ไม่ต้องแบ่งเวลาเพื่อไปดูแลลูก

งานวิจัยชี้ชัด เหตุผลที่ยกมาประกอบก็เข้าที อย่างนี้รอไม่ได้ รีบหา รีบมี อย่ารีรออยู่บนคานนะค๊าาา

ขอบคุณข้อมูลจาก thaijobsgov

อยากหน้าเด็กดูอ่อนเยาว์ลงกว่า 10 ปี แนะนำให้พอกหน้าด้วยสิ่งนี้เลย


อยากหน้าเด็กดูอ่อนเยาว์ลงกว่า 10 ปี แนะนำให้พอกหน้าด้วยสิ่งนี้เลย

ผู้หญิงญี่ปุ่นได้รับการยอมรับว่าดูสวยงามและอ่อนเยาว์แม้ว่าพวกเธอจะมีอายุมากแล้วก็ตาม ชาวญี่ปุ่นใช้สิ่งนี้ดูแลผิวมาเป็นระยะเวลายาวนานและความลับทั้งหมดนี้อยู่ในข้าว ข้าวมีสารอาหารอยู่มากมายและดีต่อสุขภาพมาก เช่น กรดไลโนเลอิกและสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพมากสามารถช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนซึ่งจะช่วยลดและป้องกันการเกิดริ้วรอย ข้าวเป็นสิ่งมหัศจรรย์สำหรับการดูแลผิวและกำจัดริ้วรอย เราจะนำเสนอวิธีพอกหน้าโฮมเมดด้วยข้าวให้กับคุณ

วิธีพอกหน้านี้เป็นสูตรดั้งเดิมของชาวญี่ปุ่นที่จะช่วยทำให้ผิวเรียบเนียน ลดริ้วรอยและช่วยฟื้นฟูสภาพผิวของคุณ ผิวของคุณจะดูอ่อนเยาว์ลงกว่า 10 ปี!

ผู้เชี่ยวชาญระบุว่ามีหลายสาเหตุที่เป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดริ้วรอย เช่น การสัมผัสกับแสงแดด การใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง การกินอาหารที่ขาดคุณภาพ การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน และปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมาย แต่สาเหตุเหล่านี้เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่น

ทำไมคุณถึงไม่หยุดใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางราคาแพงและหันมาเลือกใช้วิธีธรรมชาตินี้แทน? วิธีธรรมชาตินี้จะช่วยทำให้ผิวของคุณดูอ่อนเยาว์ลงไปกว่า 10 ปี!

สูตรพอกหน้า!

สิ่งที่คุณต้องเตรียม:

น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ

ข้าว 3 ช้อนโต๊ะ

นม 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ:

ใส่ข้าว 3 ช้อนโต๊ะลงไปในหม้อและเทน้ำตามลงไป 1 ถ้วย นำไปต้มให้เดือด และเคี่ยวทิ้งไว้เป็นเวลา 3 นาที จากนั้นรอให้เย็นสักพัก และเก็บส่วนผสมนี้ลงในภาชนะแก้ว จากนั้นใส่ข้าวต้ม 1 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ และนมอุ่น ผสมส่วนผสมจนเหนียวเข้ากันดี

วิธีใช้:

ขั้นแรกให้ล้างหน้าด้วยน้ำให้สะอาดและพอกหน้าด้วยสูตรข้าวโฮมเมดบนใบหน้าของคุณ และนวดเบา ๆ เป็นวงกลม ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น คุณควรพอกหน้าด้วยสูตรนี้สัปดาห์ละครั้ง มันจะทำให้ผิวของคุณชุ่มชื้นและดูอ่อนกว่าวัยถึง 10 ปี! จนคุณต้องตะลึง!

อ้างอิง : yourhealthycupoftea.com แปลข้อมูลโดย : www.rak-sukapap.com

วันจันทร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ไปหามากิน ผักพื้นบ้านต้านได้สารพัดโรค ของดีใกล้ๆตัวเรา


ไปหามากิน ผักพื้นบ้านต้านได้สารพัดโรค ของดีใกล้ๆตัวเรา

ผักกูดน้ำ ผักกูดอร่อยต้องกินหน้าแล้งเพราะรสชาติไม่ฝาดเหมือนในฤดูอื่นๆ อร่อยตรงจืดอมหวานเนื้อกรอบ ส่วนใหญ่นิยมกินยอดและใบอ่อน ผักกูดน้ำไม่นิยมกินสด มักเอาไปต้มหรือเอาไปลวก นอกจากกินเป็นผักแนม ผักกูดน้ำยังใช้ ต้ม ยำ ทำแกงหรือผัดกับน้ำมันเฉยๆ ก็อร่อยเหลือหลาย เคล็ดลับการทำแกงส้มผักกูดควรใส่ปลาช่อนถึงจะเข้ากันได้ดี

ใบชะพลู ไม้พุ่มขนาดเล็ก ใบดกหนา ชะพลูมีชื่อเรียกต่างๆกัน ภาคเหนือเรียกว่าผักแค ผักปูนา พลูนก พลูลิง ภาคใต้เรียกว่าผักนมวา อีสานเรียกว่าผักอีเลิด ผักเล็ก ผักปูลม ใบชะพลูมีกลิ่นหอม รสเผ็ดอ่อนๆ เป็นผักสดที่นิยมกินกับอาหารรสแซบ เช่น ลาบ น้ำตก ปลาย่าง ร่วมถึงน้ำพริกชนิดต่างๆ เป็นเครื่องปรุงที่เสริมรสอาหารได้ดี อาทิ แกงแคของภาคเหนือ ส่วนภาคอีสานนิยมใส่ในแกงอ่อมต่างๆ แกงขนุนอ่อน แกงหัวปลี ภาคใต้ใช้แกงกะทิใส่ใบชะพลูกับหอยแครง ส่วนภาคกลางนิยมใส่แกงคั่วหอยขม หรือกินกับข้าวมันส้มตำ และที่นิยมมากที่สุดคือกินเป็นใบห่อเมี่ยงคำที่ให้รสชาติเข้ากันอย่างดี กินแล้วช่วยบำรุงธาตุ ขับลม แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ

ผักหวาน ผักหวานมีรสชาติหวานสมชื่อ นิยมนำไปนึ่งแล้วจิ้มกับน้ำพริกแจ่วสารพัดชนิด นอกจากนี้ยังใช้ทำแกงได้อร่อยอีกต่างหาก คนอีสานนิยมนำไปแกงใส่ใข่มดแดง อันเป็นอาหารยอดฮิต หรือแกงใส่ปลาย่างผสมใบชะอม ทำเป็นแกงอ่อมก็อร่อยดี ทางเหนือนิยมแกงผักหวานใส่ปลาย่างกับวุ้นเส้น งบผักหวานใส่มดแดงสุดอร่อย และคนกรุงยังนำผักหวานไปผัดกับน้ำมันร้อนๆ ปรุงด้วยซีอิ๊ว เหยาะเกลือนิดก็อร่อย

บัวบก คนไทยทั่วทุกภาคนิยมกินบัวบก แต่ชื่อที่เรียกจะแตกต่างกันไป ภาคเหนือและอีสานเรียก ผักหนอก ภาคใต้เรียกผักแว่น ใบบัวบกมีรสขมอ่อนๆ กลิ่นหอมและเป็นพืชที่กินสดๆ ได้ทั้งก้านและใบ จึงเป็นผักแกล้มอาหารรสเข้มข้นจานต่างๆได้อร่อย เช่น แกล้มน้ำพริก ส้มตำ และอาหารจานเดี่ยว เช่น หมี่กรอบ ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย นอกจากนี้ยังใส่ในแกงเผ็ดและยำ ทำให้รสชาติอาหารอร่อยขึ้น นอกจากทำอาหารแล้วบัวบกยังนำมาคั้น ผสมน้ำตาลเล็กน้อย เป็นน้ำสมุนไพรดื่มให้รสหวาน หอม เย็นชุ่มคอ บัวบกช่วยระบายความร้อน แก้อ่อนเพลีย บำรุงหัวใจ บำรุงสมอง แก้ไมเกรน ชาวจีนเชื่อว่า บัวบกแก้ช้ำใน ทำให้เลือดกระจาย หายฟกช้ำเร็วขึ้น

ตาลปัตรฤาษี พืชน้ำทีพบทุกภาค แต่จะมีมากในปีที่น้ำหลาก ชาวบ้านในภาคอีสานนิยมเก็บยอดอ่อนและช่อดอกอ่อนมากินเป็นผักสดกับน้ำพริก ส้มตำ ลาบ หรืออาหารรสจัดต่างๆ มีรสฝาดเล็กน้อย

ผักปลัง ชาวเหนือเรียกผักปั๋ง กินอร่อยได้ทั้งยอดอ่อน ใบอ่อนและดอกอ่อน กินเป็นผักต้ม ลวกหรือนึ่งสุก จิ้มน้ำพริก ชาวเหนือนิยมกินกับน้ำพริกดำ น้ำพริกตาแดง เอาไปแกงกับถั่วเน่า จอ(แกงชนิดหนึ่งของชาวเหนือมีรสเปรี้ยวแต่ไม่เผ็ด)ผักปั๋งใส่มะนาว ดอกเอาจอกับแหนม ชาวเหนือกับอีสานเอายอดอ่อนกับดอกอ่อนไปแกงส้ม เคล็ดลับความอร่อย ควรใส่ผักปลังลงในหม้อเป็นสิ่งสุดท้ายหลังจากน้ำแกงเดือดเต็มที่ เวลาใส่ผักลงไปควรกดให้จม พอเดือดสักพักก็ปิดไฟ ไม่ควรรอให้เดือดนาน เพราะจะทำให้ผักปลังเละไม่น่ากิน ชาวเมืองกรุงทำเป็นผัดผักไฟแดง หรือผัดน้ำมันหอย ผักปลังช่วยในการระบาย จึงเหมาะสำหรับผู้สูงอายุที่มีปัญหาเรื่องการขับถ่าย

ไหลบัว ไหลบัวคือหน่ออ่อนของต้นดอกบัวหลวงที่ยังไม่โผล่พ้นน้ำ ซึ่งต่างจากสายบัวที่เป็นส่วนก้านดอกของบัวสาย ไหลบัวมีความกรอบและรสชาติหวานมันจึงนิยมนำมากินสด คนอีสานนิยมกินเป็นผักสดกับส้มตำ แต่คนภาคกลางนิยมนำไปแกงส้ม ผัด หรือไม่ก็กินสดๆ ปัจจุบันเป็นไหลบัวผัดกุ้งเป็นเมนูยอดนิยมในภัตตาคารจีน ถือเป็นยาเย็น ช่วยบำรุงร่างกาย

ผักแพว ผักแพวหรือที่คนอีสานเรียกว่าผักแพ้ว ผักพริกม้า ส่วนคนเหนือเรียกผักไผ่ ความอร่อยของผักแพวอยู่ที่กลิ่นหอมและรสร้อนแรง จึงนิยมกินเป็นผักสดแนมกับอาหารรสจัดแทบทุกชนิด และนำไปปรุงเป็นเครื่องปรุงรสในอาหารประเภทลาบ และใส่แกงปลารสจัด เพื่อตัดกลิ่นคาวปลาพร้อมกับปรุงอาหารประเภทหอยเพื่อเสริมความหอม กินแล้วช่วยขับลมในกระเพาะดีนัก

ใบยอ น่าอัศจรรย์ใจที่รสขมของใบยอ และกลิ่นเฉพาะตัวนี้ มีบทบาทอย่างมากในอาหารไทยทั่วทุกภาค ที่เด่นสุดคือ ภาค กลางใช้เป็นผักรองกระทงห่อหมก เพราะความอร่อยของห่อหมกเข้ากันได้ดีกับใบยอ และยังไม่มีผักอื่นเข้ามาแข่งได้ ส่วนภาคอีสานนำไปทำแกงอ่อมใบยอ และภาคใต้ก็มีแกงรสเด็ดไม่แพ้กันคือ แกงเผ็ดปลาใส่ขมิ้นใบยอ การกินใบยอให้อร่อยควรตัดเส้นกลางใบออกและลวกก่อนนำมาแกง จะช่วยลดความขมได้ ใบยอช่วยบำรุงร่างกาย แก้ปวดท้อง ท้องร่วง

หัวปลี ปลีกล้วยที่ใช้ทำอาหารส่วนใหญ่เป็นปลีกล้วยน้ำว้า เพราะฝาดน้อยและหาง่ายกว่ากล้วยพันธุ์อื่นๆ หัวปลีสีแดงเมื่อแกะใบเลี้ยงออกจนถึงชั้นที่มีสีขาวนวล จะนำมาผ่าปลีตามยาวเป็นส่วนๆ แล้ว ต้องนำไปแช่น้ำผสมน้ำมะขามเปียกหรือน้ำมะนาวก่อน เพื่อรักษาปลีกล้วยให้ขาวนวลน่ากิน อาหารไทยนิยมกินปลีกล้วยสดกับเต้าเจี้ยวหลน กะปิคั่ว ผัดไทย ชุบแป้งทอด ปรุงเป็นแกงเลียง หัวปลีแก้โลหิตจาง ลดความดันโลหิต แก้ร้อนใน กระหายน้ำ ที่สำคัญคือบำรุงน้ำนมในคุณแม่ลูกอ่อน

ผักแขยง ด้วยคุณสมบัติที่ให้กลิ่นหอม ชาวอีสานและชาวเหนือจึงนิยมเด็ดยอดอ่อนมากินเป็นผักสดร่วมกับส้มตำ ลาบ แจ่ว ป่น เพื่อช่วยกับกลิ่นคาว หรือเป็นเครื่องปรุงในแกงหน่อไม้ น้ำพริกปลาร้า อ่อม ผักแขยงมีมากในฤดูฝน กินแล้วช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือน และช่วยสมานแผลให้หายเร็วขึ้น

ผักเป็นแหล่งที่อุดมด้วยเส้นใยอาหารตามธรรมชาติ มีโปรตีน เกลือแร่ และวิตามิน โดยเฉพาะวิตามินเอ บี ซี อี และเค รวมทั้งสารอื่นๆ เช่น ไบโอฟลาโวนอยด์และน้ำย่อยบางชนิด ซึ่งล้วนสำคัญและจำเป็นต่อการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพของร่างกาย ซึ่งล้วนมีอุดมอยู่ในผักพื้นบ้านของไทย

ข้อมูลดีๆจากนิตยสาร ชีวจิตร

วันอาทิตย์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2560

แจกสูตร กุยช่ายแป้งสด ลองทำดูนะ สูตรนี้เด็ดมากๆขอบอก



แจกสูตร กุยช่ายแป้งสด ลองทำดูนะ สูตรนี้เด็ดมากๆขอบอก

ขนมกุยช่ายที่เราหาซื้อหาทานกันในท้องตลาด ส่วนใหญ่จะเป็นแบบแป้งหนาเหมือนก้อนซาลาเปา เรามีสูตรแป้งที่บางกว่านี้ น่าทานกว่านี้โดยคุณ เนินน้ำ ใน http://pantip.com/topic/31658433 มาฝากกัน

ส่วนผสม

แป้ง

แป้งข้าวเจ้า 2 ถ้วย

แป้งมัน 1 ถ้วย + 2 ช้อนโต๊ะ

น้ำ 1+1/2 ถ้วย

น้ำใบเตย 1 ถ้วย

(ถ้าต้องการสีอื่นใช้น้ำอัญชัญหรือบีทรูทแทนน้ำใบเตยได้ค่ะ หรือถ้าทำสีขาวก็ใช้น้ำเปล่าแทนน้ำใบเตยนะคะ)

ไส้กุยช่าย

กุยช่ายซอย 500 กรัม

เกลือสมุทร 1 ช้อนชา

น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ

กระเทียมสับ 1 ช้อนโต๊ะ

น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา

น้ำจิ้ม

น้ำตาลทราย 1 ถ้วย

ซีอิ๊วดำหวาน 1/4 ถ้วย

น้ำส้มสายชู 1/2 ถ้วย

น้ำ 1/4 ถ้วย

เกลือสมุทร 2 ช้อนชา

พริกขี้หนูสดบด 1 ช้อนโต๊ะ

กระเทียมไทยบด 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ

1. ทำไส้โดยหมักกุยช่ายกับเกลือให้เข้ากัน พักไว้ 15 นาที จากนั้นตั้งกระทะน้ำมันบนไฟกลาง ใส่กระเทียมลงผัดพอเหลืองหอม ใส่กุยช่ายหมักและน้ำตาล ผัดให้สุกนุ่ม ตักขึ้นพักไว้

2. ทำน้ำจิ้มโดยเคี่ยวน้ำตาล ซีอิ๊วดำหวาน น้ำส้มสายชู เกลือ และน้ำ เข้าด้วยกันในหม้อให้ละลาย ปิดไฟ พักไว้พออุ่น ใส่พริกขี้หนูและกระเทียม

3. ทำแป้งโดยผสมแป้งข้าวเจ้า แป้งมัน และน้ำเข้าด้วยกัน ใส่น้ำทีละน้อยนวดให้แป้งละลายเข้ากัน ใส่น้ำที่เหลือจนหมด

4. เตรียมหม้อคอคอดใส่น้ำ 2/3 ของหม้อ ขึงผ้าโทเรมัดให้แน่น ดึงให้ตึง เจาะรูบนปากหม้อเพื่อให้ไอน้ำพุ่งขึ้นมา ยกหม้อตั้งบนไฟกลาง ปิดฝาครอบต้มจนน้ำเดือด

5. ใช้ทัพพีตักแป้งละเลงเป็นแผ่นบาง ปิดฝาครอบนาน 5 วินาที ตักไส้กุยช่ายใส่ ใช้พายยางปาดให้แป้งย่นหุ้มไส้ ตักใส่จานที่มีน้ำมันเล็กน้อย

6. จัดใส่จาน โรยกระเทียมเจียว

เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้ม พร้อมรับประทานค่ะ ลองไปทำทานไว้เล่นกันได้นะคะ

ขอบคุณข้อมูลจาก สมาชิกเนินน้ำ เว็บไซต์ http://pantip.com/topic/31658433 เรียบเรียงโดย Thaojobsgov

11 วิธีหลีกเลี่ยงรังสีอันตรายจากมือถือ ถ้าไม่อยากอายุสั้นต้องอ่าน


11 วิธีหลีกเลี่ยงรังสีอันตรายจากมือถือ ถ้าไม่อยากอายุสั้นต้องอ่าน

โทรศัพท์มือถือ กลายเป็นอวัยวะที่ 33 ที่คนเราขาดไม่ได้ไปแล้ว เพราะไม่ว่าจะเดินทางไปที่ไหน ทำอะไร อยู่กับใคร หรือแม้กระทั่งเวลาเข้านอน มือถือก็เข้ามามีส่วนร่วมกับชีวิตของเราทั้งสิ้น เรียกได้ว่าถ้าชาวโซเชี่ยวขาดการติดต่อไปสักวันหนึ่ง คงกินไม่ได้นอนไม่หลับแน่ๆ ด้วยเหตุนี้จึงอาจทำให้เราแทบจะนึกภาพชีวิตประจำวันที่ปราศจากมือถือกันไม่ออกเลยทีเดียวว่าชีวิตของเราจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างไร

13 วิธีหลีกเลี่ยงรังสีจาก “มือถือ”

1. เวลาคุยโทรศัพท์ แนะนำให้เปิดลำโพงและวางมือถือให้ห่างจากตัวประมาณ 1 ช่วงแขน หากกลัวจะได้ยินไม่ชัด อาจใช้หูฟังและบลูทูธเป็นตัวช่วย และอย่าลืมปิดเครื่องมือเหล่านี้เมื่อไม่ได้ใช้งาน

2. พยายามหลีกเลี่ยงการวางโทรศัพท์ไว้ใกล้ตัวตลอดทั้งวัน หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ให้พยายามจัดวางตำแหน่งโทรศัพท์ไว้ในที่ที่เหมาะสม โดยหันเสาอากาศออกไปจากตัวคุณ

3. พยายามใช้โทรศัพท์เมื่อสัญญาณเต็ม เพราะยิ่งสัญญาณโทรศัพท์อ่อน คุณจะมีสิทธิได้รับรังสีมากกว่าปกติ

4. พยายามอย่าใช้โทรศัพท์ในลิฟต์ รถ รถไฟ หรือเครื่องบิน หรือในที่ที่เป็นโลหะ เพราะจะทำให้โทรศัพท์ต้องใช้พลังงานมาก

5. การส่งข้อความแทนการโทรศัพท์ทำให้คุณปลอดภัยมากกว่า

6. การใช้ที่ป้องกันรังสีอาจทำให้โทรศัพท์ของคุณปล่อยรังสีได้มากกว่าเดิม

7. การติดสัญญาณไวไฟที่บ้าน ควรจะติดตั้ง router ให้ห่างจากห้องนอน และพยายามนำสื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เช่น โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ เป็นต้น วางให้ไกลจากห้องนอนมากที่สุด ถ้าเป็นไปได้อย่าลืมถอดปลั๊กอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆให้เรียบร้อยก่อนเข้านอนด้วย

8. พยายามต่ออินเตอร์เน็ตกับ Ethernet หรือการเชื่อมต่อทางสายนำสัญญาณที่เราเรียกกันว่าสายแลน (Lan) ให้มากกว่าการใช้ wireless router

9. ปิดการเชื่อมต่อไวไฟ หรือ บลูทูธ หากไม่ได้ใช้งาน

10. พยายามเลือกใช้เครื่องปริ้นท์เตอร์ เมาส์ และคีย์บอร์ดแบบมีสาย แทนการใช้แบบไร้สาย เพราะอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆแบบไร้สายก็อันตรายไม่แพ้โทรศัพท์มือถือเลย

11. อุปกรณ์ตรวจจับรังสีภายในบ้านก็เป็นแหล่งกำเนิดรังสีได้เช่นกัน

อ่านดูแล้วเหมือนว่าการใช้สิ่งของแบบใหม่ที่ออกแบบมาให้เราสบายมากขึ้นจะกลายเป็นตัวการที่ทำลายสุขภาพของเราให้แย่ลงไปทุกวันๆ ดังนั้น อาจจะดีกว่าถ้าเราเลือกที่จะใช้เทคโนโลยีที่ไม่ได้ดีเลิศ หรือทำให้ชีวิตสบายมากเกินไป เพื่อที่จะทำให้ชีวิตของเราปลอดภัยได้มากขึ้นกว่าเดิม

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก kiitdoo.com / เรียบเรียงข้อมูลโดย ThaiJobsGov.com